วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2554

ด.ช.กล้า"เรียนรู้ คู่ฟ้าสองพระบารมี




ด.ช.กล้า"เรียนรู้" คู่ฟ้าสองพระบารมี

เรื่องเล่าจำเขามา....

กล้า หลานชาย วัย 9 ขวบ กำลังหงุดหงิดเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมผู้คนถึงหลั่งไหลมารวมกันเยอะขนาดนี้

ตาและยาย ที่พากล้าเดินทางมาจากอีสาน เพื่อร่วมถวายพระพร ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 60 ปี เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2549 บอกให้หลานชายลองมองไปรอบๆ ตัวว่าเห็นอะไรบ้าง

กล้าไม่ตอบ แต่เหลือบตามองไปทั่ว และ รู้สึกแปลกที่ประชาชนซึ่งพร้อมใจกันสวมใส่เสื้อสีเหลืองต่างยิ้มแย้มสนุกสนาน ท่ามกลางอากาศร้อนจัด

"ร้อนแค่นี้เอ็งก็บ่น ในหลวงกับพระราชินีท่านร้อนกว่านี้ ลำบากกว่านี้หลายเท่า ท่านยังทนเพื่อพวกเราทุกคนได้ ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน แต่กลับต้องเสด็จฯ ทุกที่ที่มีปัญหา เอ็งว่าท่านเหนื่อยบ่"

ตาว่าพลางหยิบรูปเก่าๆ รูปหนึ่งออกมา เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขณะกำลังทรงงานอย่างเหน็ดเหนื่อยจนพระเสโทผุดพรายเต็มพระพักตร์ของพระองค์ท่าน

"ในหลวงท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน 24 ชั่วโมง บ่มีวันหยุดพัก ประชาชนรักท่าน เพราะท่านทำเพื่อพวกเราทุกคน"

"คนที่มาวันนี้ก็คงเหมือนกับตานี่แหละ ที่ครั้งหนึ่งในหลวงเคยเสด็จฯ เยี่ยมถึงจังหวัด แถมยังช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาสารพัด"

บทเริ่มต้นในหนังสือการ์ตูนเฉลิมพระเกียรติ "คู่ฟ้า สองพระบารมี" ซึ่งโครงการคิดอย่างยั่งยืน ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง กองอำนวยการรักษาความมั่นคง จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ พระอัจฉริยภาพให้ปรากฏ ในโอกาสมหามงคล ครบ 60 ปี พระราชพิธีบรมราชาภิเษกและราชาภิเษกสมรสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในปีพ.ศ.2553 นี้

เป็น 60 ปีแห่งการทุ่มเทพระวรกายของ ทั้งสองพระองค์ในการขจัดทุกข์บำรุงสุขให้กับประชาชนทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ คนไทยต้องไม่ลืม

นับตั้งแต่เดือนกันยายน 2498 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งปณิธานว่าจะเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในต่างจังหวัดให้ทั่วประเทศ โดยเริ่มที่ภาคกลาง แล้วเสด็จฯ ยังภาคอื่นๆ จนครบ ได้แก่ ภาคอีสาน (ปี 2498) ภาคเหนือ (ปี 2501) ภาคใต้ (ปี 2502)

ถือเป็นการเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรเป็นครั้งแรกในรัชสมัย และยังมีครั้งต่อๆ ไปอีกนับไม่ถ้วน

เนื้อหาของเรื่องถ่ายทอดผ่านชีวิตของ "กล้า" เด็กชายคนหนึ่งซึ่งเปลี่ยนแปลงและปรับตัวหลังจากเรียนรู้พระราชภารกิจอันหนักหน่วงของทั้งสองพระองค์ในด้านต่างๆ ได้แก่ การทำฝนหลวง การพัฒนาแหล่งน้ำ โครงการศิลปาชีพ โครงการเกษตรในพื้นที่ต่างๆ

ความพิเศษของหนังสือเล่มนี้มี 2 ประการ

ประการแรก เรื่องราวทั้งหมดบอกเล่าในรูปแบบการ์ตูน ผ่านรูปวาดสีสันสวย งามและลายเส้นอันเป็นเอก ลักษณ์ของ โอม รัชเวทย์

ประการที่สอง มีการรวบ รวมภาพประวัติศาสตร์ที่หาชมยาก นั่นคือ ภาพถ่ายเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ เยี่ยมเยียนราษฎรในจังหวัดต่างๆ เป็นครั้งแรก พร้อมภาพประกอบอันทรงคุณค่าอีกจำนวนหนึ่งที่จะพาทุกคนย้อนกลับไปวันวาน เมื่อครั้งความทุกข์ยากของประชาชนยังเจือปนด้วยรอยยิ้ม และเปี่ยมล้นด้วยความจงรักภักดี

ปกเป็นภาพสามมิติ ถือเป็นหนังสือการ์ตูนปกสามมิติเล่มแรกของประเทศไทย ราคา 300 บาท หนา 208 หน้า จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มติชน มีจำหน่ายที่บูธมติชน เฉพาะในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 26 มี.ค. ถึง 6 เม.ย. เท่านั้น

พ่อบอกกับกล้าในตอนท้ายของเรื่องว่า

"พ่อเคยอ่านพบว่าระหว่างปีพ.ศ.2512-2520 ในหลวงเสด็จพระราชดำเนินเป็นระยะทางไกลกว่าหนึ่งแสนกิโลเมตร

หลังจากนั้นยังคงเสด็จฯ ติดต่อกันอีกหลายสิบปี

จนบางคนบอกว่า..เส้นทางพระราชดำเนินไกลกว่าระยะทางจากโลกถึงดวงจันทร์เสียอีก...และไม่มีที่ไหนบนผืนแผ่นดินไทย...ที่พระองค์ไม่เคยเสด็จฯ ไป"





" Long Live The Great King Bhumibol Adulyadej "
ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานองค์ภูมิพลอดุลยเดชมหาราชา"
ที่มา:ข่าวสดรายวัน

จุดกำเนิดข้าวหอมมะลิไทยที่มีชื่อเสียงระดับโลก ณ อาณาจักรทุ่งกุลาร้องไห้


 พระบาททสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล พระองค์เคยกล่าวสั้นๆ แต่จับใจว่ากลิ่นหอมของข้าวไทยไม่มีอะไรมาเทียบเคียงได้...

 

จุดกำเนิด .. ข้าวหอมมะลิ  อันลือเลื่องของโลก ณ อาณาจักรทุ่งกุลาร้องไห้

ข้าวหอมมะลิเริ่มต้นทดลองปลูกที่ จ.ลพบุรี ปี พศ.2502 แต่มาลงตัวแถบทุ่งกุลาร้องไห้ จ.สุรินทร์
          ประเทศไทย ข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดในสังคมการเกษตรกรรมของประเทศไทยและสามารถนำรายได้เข้าประเทศเป็นจำนวนมากทุก ๆ ปี โดยประเทศไทยสามารถส่งออกข้าวมากเป็นอันดับหนึ่งของโลกมาตลอด 20 ปี และในปริมาณการส่งออกที่เพิ่มขึ้นทุกปี สำหรับข้าวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศไทย คือ ข้าวหอมมะลิที่เป็นข้าวพันธุ์หลักที่สามารถส่งไปขายในตลาดที่สำคัญ ๆ ทั่วโลก
         
ข้าวหอมมะลิ นับเป็นข้าวที่มีชื่อเสียงระดับโลกประเทศไทยผลิตข้าวหอมมะลิและส่งออกมาเป็น เวลาหลายปีมาแล้วโดยเฉพาะข้าวหอมมะลิส่วนใหญ่ที่ปลูกในพื้นที่นาน้ำฝนภาค ตะวันออกเฉียงเหนือเป็นข้าวหอมมะลิ  คือ สายพันธุ์ขาวดอกมะลิ ๑๐๕ (Khao Dawk Mali 105) และ ๑๕ เท่านั้น
         
สุนทร สีหะเนิน ผู้สร้างตำนาน"ข้าวขาวดอกมะลิ 105"
...ชนชาติพันธ์นี้เป็นกระดูกสันหลังของโลกที่ยังหลงเหลืออยู่ .. .” 

ผู้ค้นพบข้าวพันธุ์ “ขาวดอกมะลิ 105”
          นายสุนทร สีหะเนิน เป็นผู้ค้นพบข้าวพันธุ์ “ขาวดอกมะลิ 105” หรือ ข้าวหอมมะลิ ซึ่งเป็นข้าวที่มีคุณภาพดีที่สุด และราคาแพงที่สุดของประเทศไทย เป็นที่นิยมบริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีการส่งออกปีละ กว่าล้านตัน นำเงินตราเข้าประเทศปีละนับหมื่นล้านบาท ลูกค้าข้าวหอมมะลิที่สำคัญได้แก่ จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ และ สหรัญอเมริกา เกี่ยวกับประวัติการค้นพบข้าวพันธุ์นี้ เริ่มในปี พ.ศ ๒๔๙๓๒๔๙๔   *นายสุนทร     สีหะเนิน   อดีตพนักงานข้าว ฯ  ของกรมการข้าวฯ ในสมัยขณะนั้น  โดยประจำอยู่ที่อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา  ได้รับมอบหมายให้ออกไปเก็บรวบรวมพันธุ์ข้าวในภาคตะวันออก   ในอำเภอบางคล้า     ด้วยการคัดเก็บเอารวงข้าวจำนวน ๑๙๙  รวง  ซึ่งเป็นข้าวที่มีความหอมและเรียกกันว่า  " ข้าวหอมมะลิ " ทั้งหมดถูกเก็บและได้ระบุหมายเลขของรวงที่เก็บมาได้ตามลำดับ
          จากนั้น จึงส่งไปปลูกเพื่อคัดพันธุ์ให้บริสุทธิ์ ที่สถานีทดลองข้าวโคกสำโรงจังหวัดลพบุรี   และต่อมาในปี  ๒๕๐๐  พันธุ์ ข้าวหอมมะลิที่ผ่านการคัดเป็นพันธุ์บริสุทิ์แล้วถูกนำไปปลูกทดลองและทดสอบใน พื้นที่ปลูกข้าวภาคต่างๆ พบว่า ในภาคอีสาน ข้าวหอมมะลิ  ที่เป็นรวงหมายเลขที่ ๑๐๕  (หนึ่งร้อยห้า) เป็นรวงที่ให้ผลผลิตดีในพื้นที่ดินทรายโดยเฉพาะในภาคอีสาน   จะเป็นเมล็ดข้าวเรียวยาว สมบูรณ์และความหอมของข้าวยังคงเหมือนข้าวที่ปลูกจากแหล่งเก็บเหมือนเดิม 
 
นักปรับปรุงพันธุ์ข้าวในระยะต่อมา ยังใช้พันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 เป็นพ่อแม่พันธุ์ในการผสมข้าวพันธุ์และฉายรังสีแกมมา แล้วคัดเลือกจนได้เป็นพันธุ์ข้าวที่ดีหลายพันธุ์ รวมทั้งข้าวพันธุ์ “กข 15” และข้าวเหนียวพันธื "กข6" ซึ่งมีเกษตรกรปลูกปีละนับแสนไร่เช่นกัน

 โดยเริ่มแรกให้ชื่อว่า  ขาวดอกมะลิ  ๔-๒๑๐๕   [ในยุคสมัยนั้น]  
        ในเชิงสัญญลักษณ์   ก็มีความหมาย  คือ ว่า ......
        หมายเลข ๔  หมายถึงอำเภอที่เก็บมา   อำเภอบางคล้า  จังหวัดฉะเชิงเทรา และ
        หมายเลข ๒  หมายถึง  ชื่อพันธุ์ข้าวที่เก็บในอำเภอนั้น คือ  หอมมะลิ    และ     หมายเลข ๑๐๕  ก็คือ ....
ตำแหน่งรวงข้าวของพันธุ์หอมมะลิที่เก็บในที่นั้น   ซึ่งเป็นรวงหมายเลขที่ ๑๐๕ (หนึ่งร้อยห้า)  คือ  หอมมะลิ  ซึ่งมีที่มาจากความขาวของเมล็ดข้าว  และความหอมที่คนไทยมักจะนำไปเปรียบเทียบกับดอกไม้ไทยในขณะนั้น
       โดยคนไทยจะใช้ดอกมะลิที่มีสีขาวสำหรับบูชาพระ เป็นสิ่งมงคลและความประทับใจคล้าย ๆ กัน                    
        จากความหมายในเชิงสัญญลักษณ์ดังกล่าวนี้  จึงมีผู้นำมาใช้เป็นชื่อพันธุ์ข้าวหอมของไทย เหตุผลที่ข้าวพันธุ์นี้ได้ถูกนำไปขยายผล  เพราะเป็นข้าวที่มีความโดดเด่น  ในรูปลักษณ์และรสชาติ  ซึ่งเป็นผลดีทั้งในด้านความหอมและความนุ่มของรสชาติจนได้รับความนิยมจากผู้บริโภค  ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ตลอดเรื่อยมา

          ในปีพ.ศ.๒๕๐๒   ข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ ๑๐๕ นี้  ได้รับรองให้เป็นข้าวหอมพันธุ์ที่มีชื่อขาวดอกมะลิ  ๑๐๕  *  เมื่อวันที่  ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ.  ๒๕๐๒ ในชื่อ “ขาวดอกมะลิ 105” เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกต่อไป ข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 ได้รับความนิยม เป็นพันธุ์พืชที่มีพื้นที่ปลูกมากที่สุดในประเทศไทยติดต่อกันมาหลายปีจนถึงปัจจุบัน


          ต่อมา ภาครัฐจึงให้การสนับสนุนให้ปลูกเป็นแปลงสาธิตขนาดใหญ่  มีการประชาสัมพันธุ์และโน้มน้าว   พี่น้องชาวอีสาน  จนกลายเป็นข้าวหอมมะลิที่ขยายผลได้ในกลุ่มผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศตลอดเรื่อยมา  จึงเป็นที่รู้จักและเนที่นิยมเพาะปลูกกันไปทั่วในพื้นที่ภาคอีสาน  [ ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมด ]
       จากข้อมูลการสำรวจทางธรณีวิทยา  ในการปลูกเชิงการเกษตรเป็นเวลานาน ทำให้รู้ว่า  ว่า   ภาคอีสานเป็นพื้นที่ที่ได้รับมรดกจากธรรมชาติมาน้อยมากเพราะพื้นที่นี้เป็นดินทราย  อินทรียวัตถุต่ำ บางแห่งจะมีดินจะมีความเค็มเป็นพิเศษ  สังเกตได้จากร่องรอยเกลือสีขาวที่ปรากฏอยู่ทั่วไป  จึงเป็นพื้นที่เหมาะแก่การปลูกข้าวขาวดอกมะลิ  เป็นอย่างยิ่ง กว่าภาคใดๆ ของประเทศไทย  
         จากคำบอกเล่าถึงแหล่งข่าวได้มา   ว่ากันว่า   ข้าวขาวดอกมะลิ  ๑๐๕   ได้ทำการเพาะปลูกอยู่ในพื้นที่จังหวัดลพบุรี  เป็นเวลานานหลายปี  แต่เมื่อถูกนำมาปลูกในภาคอีสานใต้  ได้แก่   จังหวัด บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ ร้อยเอ็ด ยโสธร และมหาสารคาม  และจังหวัดอื่นๆ อีกหลายจังหวัดในภาคอีสาน


เมล็ดอวบอิ่มเต็มรวงรัง  .. รอรับการบรรจงจูบรัก..จากใบหน้าคมเคียว
พอมีข่าวออกมาว่าจะพัฒนาทุ่งกุลา ให้เป็นบ่อนกาสิโน ก็มีเสียงสะท้อนจากชาวนา....
"ไผว่าเมืองอิสานแล้ง อยากจูงแขนมันไปเบิ่ง ข้าวเต็มท่งนาอยู่โจ้โก้ สิไปแล้งบ่อนได๋"
ข้าว หอมมะลิที่ปลูกในบริเวณทุ่งกุลาร้องไห้ที่ใครๆ ในโลกก็รู้ว่ามีคุณภาพดีที่สุด  ทุ่งกุลาไม่ได้แล้งแล้ว ไปดูได้เลย ข้าวเขียวเต็มท้องทุ่ง ถึงเวลาข้าวสุก สีทองอร่ามงามตาไปทั่วสุดลูกหูลูกตา  ยิ่งทุ่งนาในภาคกลางมีสภาวะเสี่ยงต่อน้ำท่วม  แต่ที่ทุ่งกุลาท่วมก็ไม่นาน ข้าวงามมาก ควรมาพัฒนาจุดนี้ แล้วจะเอาพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์ ไปทำกาสิโน ประเทศไทยต้องเป็นประเทศเกษตรกรรม อุตสาหกรรมการเกษตรเท่านั้น เป็นครัวของโลก กาสิโน กาสิเน อะไรนั่นมันเต็มตะเข็บชายแดนไปหมด มีรถมารับถึงบ้าน

เราลองมาจินตนาการณ์กันหน่อยดีไหม ถ้าพื้นที่การเกษตรที่ปลุกข้าวเลี้ยงคนไทย พื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิที่ดีที่สุดในโลกและปลูกข้าวส่งออกไม่เหลือแล้ว เพราะว่ารัฐบาลต้องการส่งเสริมให้บ่อน คาสิโน แทน ถ้าประเทศไทยไม่มีข้าว กิน ชาวนาไม่เหลือที่ทำกิน เราจะอยู่ได้อย่างไรกัน...หรือว่าต่อไปนี้คุณจะกินอาหารเม็ด หรือ แคปซูลแทนข้าว กระนั้นหรือ???
ข้อสรุป
          คนไทยปลูกและกินข้าวมานานจนกลายเป็นอาหารประจำชาติยิ่งกว่านั้นประเทศไทย ยังเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันและจากการที่ข้าวหอมมะลิของไทยได้สร้างชื่อเสียงในตลาดโลกมาอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ประเทศมหาอำนาจที่มีความได้เปรียบทางด้านเทคโนโลยี รวมทั้งความเชี่ยวชาญทางด้านกฏหมายระหว่างประเทศ ได้พยายามที่จะพยายามที่จะพัฒนาพันธุ์ข้าวหอมให้มีความคล้ายคลึงกับข้าวหอมมะลิไทย รวมทั้งได้พยายามหาช่องทางด้านกฏหมายเพื่อเป็นเจ้าของสิทธิบัตรในข้าวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวขาวดอกมะลิหรือข้าวหอมมะลิ ข้าวชั้นหนึ่งของโลกที่ชาวนาไทยคัดเลือกพันธุ์และดูแลรักษามานานหลายชั่วอายุคน เรื่องนี้ดูเผิน ๆ อาจจะคิดว่าเป็นเพียงเรื่องผลประโยชน์ทางการค้า แต่ถ้าพิจารณากันให้ถึงที่สุดแล้ว นี่เป็นการคุกคามต่อการรักษาเอกลักษณ์อันโดดเด่นของข้าวไทยอีกครั้งจากมหาอำนาจยักษ์ใหญ่แห่งโลกทุนนิยม หลังจากความพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนั้นจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนของไทยจะต้องร่วมมือกันหาทางปกปักษ์รักษาข้าวหอมมะลิของไทย ให้คงความเป็นข้าวของไทยอย่างเต็มความภาคภูมิต่อไปตราบชั่วลูกหลาน.......

เพลงหำเฮี้ยน...สะท้อนชีวิตชาวนา

ขอบคุณแหล่งข้อมูล
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=91431

ตราสัญลักษณ์พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระเกียรติฯ 84 พรรษา


 The Celebration on the Auspicious Occasion of His Majesty the King’s 7th Cycle Birthday Anniversary
5th December 2011

เนื่องในโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554  เพื่อเป็นการถวายความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ รัฐบาลจึงขอเชิญชวนหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งประชาชนทั่วไป พร้อมกันประดับธงชาติไทย ธงตราสัญลักษณ์ และประดับตราสัญลักษณ์ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2554 แสดงให้เห็นถึงพระเกียรติคุณและพระบุญญาธิการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ประจักษ์ในศิลปวัฒนธรรมไทย ตลอดจนเอกลักษณ์ของชาติอย่างถูกต้อง แสดงให้ประจักษ์ในความภาคภูมิใจที่ชาวไทยมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงพระปรีชาชาญยิ่ง และแสดงให้เห็นเกียรติคุณของชาติไทยที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาแต่โบราณกาล


สำหรับผืนผ้าของธงตราสัญลักษณ์นั้น ต้องเป็นสีเหลืองนวล ซึ่งเป็นสีประจำวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ส่วนผู้ที่จะทำโครงการและกิจกรรมร่วมเฉลิมพระเกียรติ และมีความประสงค์จะนำตราสัญลักษณ์ไปใช้ประดับ ให้แจ้งความประสงค์ไปที่คณะกรรมการฝ่ายพิจารณาการใช้ตราสัญลักษณ์ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
ความหมายของตราสัญลักษณ์
อักษรพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร. สีเหลืองทอง  อันเป็นสีประจำวันพระบรมราชสมภพ อยู่กลางตราสัญลักษณ์ ขลิบรอบตัวอักษรด้วยสีทอง บนพื้นวงกลมสีน้ำเงิน ล้อมรอบด้วยกรอบโค้งเรียบสีเหลืองทอง หมายความว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นศูนย์รวมดวงใจของคนไทยทั้งชาติ
ด้านบนอักษรพระปรมาภิไธยเป็นเลข ๙ หมายถึงพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๙  แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์  เลข ๙ นั้น อยู่ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎ อันเป็นเครื่องประกอบพระบรมราชอิสริยยศของพระมหากษัตริย์ และเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นสมเด็จพระบรมราชาธิราช
ถัดลงมาด้านข้างซ้ายขวาของอักษรพระปรมาภิไธยมีลายพุ่มข้าวบิณฑ์สีทอง ซึ่งมีสัปตปฎลเศวตฉัตรประดิษฐานอยู่เบื้องบน ด้านนอกสุดเป็นกรอบโค้งมีลวดลายสีทองบนพื้นสีเขียว หมายถึงสีอันเป็นเดชแห่งวันพระบรมราชสมภพ อีกทั้งยังหมายถึงความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์และความสงบร่มเย็น
ด้านล่างอักษรพระปรมาภิไธยเป็นรูปกระต่ายสีขาว กระต่ายนั้นทรงเครื่องอยู่ในลักษณะกำลังก้าวย่าง อันหมายถึง ปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ตรงกับปีเถาะ ซึ่งมีกระต่ายเป็นเครื่องหมายแห่งปีนักษัตร โดยรูปกระต่ายอยู่บนพื้นสีน้ำเงินมีลายกระหนกสีทอง อันหมายถึงความเจริญรุ่งเรืองของประเทศไทยภายใต้พระบรมโพธิสมภาร เบื้องล่างตราสัญลักษณ์เป็นแพรแถบสีชมพูขลิบทอง เขียนอักษรสีทอง ความว่า “พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔”

 ผู้ชนะเลิศการประกวดตราสัญลักษณ์ในครั้งนี้ได้แก่ นายศิริ หนูแดง

 
“Long Live the Great King Bhumibol Adulyadej "
ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานองค์ภูมิพลอดุลยเดชมหาราชา"

ขอบคุณแหล่งข้อมูล
 มติชนออนไลน์,  th.discuscommunity  |  image by arty1.net

วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2554

พระราชกรณียกิจด้านพลังงานทดแทน แก๊สโซฮอล์


 แนวพระราชดำริ เรื่อง "พลังงานทดแทน"
          “...ถ้าน้ำมันเชื้อเพลิงหมดแล้ว ก็ใช้เชื้อเพลิงอย่างอื่นได้ มี แต่ต้องขยัน หาวิธีที่ทำให้เชื้อเพลิงเกิดใหม่ เชื้อเพลิงที่เรียกว่าน้ำมันนั้นมันจะหมด ภายในไม่กี่ปีหรือไม่กี่สิบปีก็หมด... ถ้าไม่ได้ทำเชื้อเพลิงทดแทน เราก็เดือดร้อน...

พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ
ถวายชัยมงคล ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิตฯ
วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2548 
 พระราชกรณียกิจด้านพลังงานทดแทน แก๊สโซฮอล์ ดีโซฮอล์ และน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์
 พระ ปรีชาสามารถและแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้านการพัฒนาพลังงานนั้น ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศไทยอย่างกว้างขวาง พระองค์ทรงริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุการเกษตรมาเป็นเวลานาน ร่วม ๒๐ ปีแล้ว

   
  สำหรับประเทศไทย นับว่าเป็นความโชคดีอย่างยิ่งที่ได้เกิดมาและอาศัยอยู่ใต้ร่มพระบรม โพธิสมภารใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระมหากษัตริย์ ผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาและทรงปรีชาสามารถในทุกด้าน
     พระองค์ทรงมีสายพระเนตรอันกว้างไกล ได้พระราชทานพระราชดำริให้พัฒนาและทดลองใช้เชื้อเพลิงเหลว ซึ่งสกัดจากพืชมาเป็นเวลาประมาณ ๒๐ ปีแล้ว ก่อเกิดเป็นโครงการทางด้านพลังงานที่สามารถนำมาปรับใช้ได้อย่างทันท่วงทีใน ยามที่เกิดวิกฤติราคาน้ำมันแพง ดังเช่น พลังงานทดแทนจากเอทานอล แก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซล โดย ใช้แอลกอฮอล์ผสมในน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล รวมทั้งการใช้น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ในเครื่องยนต์ดีเซล เพื่อแปรผลิตผลจากภาคการเกษตรให้เป็นพลังงานทดแทน อันจะช่วยประหยัดเงินตราของประเทศจากการนำเข้า พร้อมกับแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรในขณะเดียวกัน

     พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ได้สร้างความซาบซึ้งและ ประทับใจแก่มวล พสกนิกรอย่างหาที่สิ้นสุดมิได้ โดยสิ่งประดิษฐ์ที่พระองค์ได้ทรงค้นคว้าวิจัยและสร้างสรรค์ขึ้น ล้วนเป็นประโยชน์แก่อาณาประชาราษฎร์และต่อประเทศนานัปการ ดังนั้น ในงานนิทรรศการสิ่งประดิษฐ์นานาชาติ Brussels Eureka ๒๐๐๑ ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม ผลงานของพระองค์จำนวน ๓ ผลงาน ประกอบด้วยแนวพระราชดำริ ทฤษฎีใหม่” “โครงการฝนหลวงและ โครงการน้ำมันไบโอดีเซลสูตรสกัดจากน้ำมันปาล์ม จึง ได้รับการประกาศสดุดีเทิดพระเกียรติคุณให้เป็นผลงานแนวคิดใหม่ในการพัฒนา ประเทศพร้อม ประกาศนียบัตร ถ้วยรางวัลและเหรียญทอง อันนำมาศซึ่งความปลาบปลื้มปิติยินดีให้เกิดแก่ประชาชนชาวไทยทั้งมวล

และเป็นหนึ่งในสามผลงานของพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวที่ทรงได้รับเหรียญทองประกาศนียบัตรสดุดีเทิดพระเกียรติคุณ พร้อมถ้วยรางวัล จากการส่งผลงานนี้ไปแสดงในงานนิทรรศการสิ่งประดิษฐ์นานาชาติ BRUSSELS EURAKA 2001 ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม นำมาซึ่งความปลาบปลื้มปีตียินดีแก่ประชาชนชาวไทยทั้งมวล  
 สิทธิบัตรการประดิษฐ์
การใช้น้ำมันปาล์มกลั่นบริสุทธิ์เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องยนต์ดีเซล

ใน การดำรงชีวิตประจำวันนั้น การเดินทางนับเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การดำรงชีวิตดำเนินต่อไปได้อย่างไม่ ติดขัด ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปทำงาน ไปเรียนหนังสือ หรือไปทำธุระต่างๆ เรามีความจำเป็นต้องใช้พาหนะในการเดินทางทั้งสิ้น และเป็นที่ทราบกันดีว่าในยุคนี้ เวลานี้ น้ำมันมีราคาแพงมาก ทำให้เพิ่มค่าใช้จ่ายสำหรับครอบครัวขึ้นอีกมากมาย
      โครงการ ตามแนวพระราชดำริ ผลิตแก๊สโซฮอล์ในโครงการส่วนพระองค์ได้กำเนิดขึ้น ด้วยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดรายจ่ายให้กับประชาชน เป็นการมองการณ์ไกลและเป็นพระอัจฉริยภาพของพระองค์ท่าน ร่วมสมัยจนถึง ณ ปัจจุบัน วันนี้ทางกลุ่มงานพัฒนาทุนตามแนวพระราชดำริ ขอน้อมนำแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเรื่องการผลิตแก๊สโซ ฮอล์ในโครงการส่วนพระองค์มานำเสนอค่ะ
เริ่มแรกเรามารู้จัก แก๊สโซฮอล์ 95 กันก่อนค่ะ แก๊สโซฮอล์ 95  คือ เบนซินไร้สารตะกั่วออกเทน 95 ที่มีส่วนผสมของ น้ำมันเบนซินกับเอทานอล ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ มีคุณสมบัติการใช้งาน เทียบเท่าน้ำมันเบนซิน 95 ทั่วไป แต่มีราคาถูกกว่า 50 สตางค์ต่อลิตร
โครงการผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์
น้ำมันแก๊สโซ ฮอล์ หมายถึง น้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้จากการผสมแอลกอฮอล์และน้ำมันเบนซิน เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จพระราชดำเนินตรวจเยี่ยมโครงการส่วน พระองค์สวนจิตรลดา การก่อเกิดโครงการแก๊สโซฮอล์ นั้นเกิดขึ้นในปี 2528 เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเล็งเห็นว่าประเทศไทย อาจประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำมัน และปัญหาพืชผลทางการเกษตรราคาตกต่ำ จึงทรงมีพระราชดําริให้ โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดาศึกษา ถึงการนําอ้อยมาแปรรูปเป็นแอลกอฮอล์ (เอทานอล) ใช้ผสมกับน้ำมันเบนซิน เป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และได้ทดลองใช้กับรถยนต์ในโครงการส่วนพระองค์ตั้งแต่ปี 2537 โดยทดสอบกับเครื่องยนต์ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ได้ผลดีทั้งในห้องปฏิบัติการและท้องถนน

 หลังจากนั้นบริษัท บางจากฯ (มหาชน) ได้น้อมรับแนวพระราชดําริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาสานต่อให้เกิดเป็นรูปธรรมในวงกว้าง ได้ผลิตและจําหน่ายแก๊สโซฮอล์ 95 ที่สถานีบริการน้ำมันบางจาก โดยได้เริ่มทดลองจําหน่ายเมื่อปี 2544 จน กระทั่งปัจจุบันมีจําหน่ายอย่างแพร่หลายที่สถานีบริการน้ำมันบางจาก ในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล ขณะนี้แก๊สโซฮอลมีจําหน่ายที่สถานีบริการน้ำมันของ ปตท. และสถานีบริกาารน้ำมันบางจาก 
      แก๊สโซฮอล์ 95 มีส่วนผสมของน้ำมันเบนซินกับเอทานอล ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ดังนั้นนอกจากจะคุณสมบัติการใช้งานเทียบเท่าน้ำมันเบนซิน 95 ทั่วไป แต่มีราคาถูกกว่า 50 สตางค์ต่อลิตรแล้ว ยังเป็นพลังงานสะอาดเพื่อสิ่งแวดล้อม เพื่อชาติอีกด้วย
     โดยแก๊สโซฮอล์ 95 มีไฮโดรคาร์บอน คาร์บอนมอนนอกไซด์ และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำกว่าเบนซิน 95 ทั่วไป ช่วยลดควันดํา สารอะโรเมติกส์ สารเบนซีน และช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองจากท่อไอเสีย จึงนับได้ว่า แก๊สโซฮอล์ 95 เป็นเบนซินที่สะอาด ช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม

โครงการส่วน พระองค์สวนจิตรลดา จึงนำแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 95 เปอร์เซ็นต์ไปผ่านกระบวนการแยกน้ำที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แห่งประเทศไทย เพื่อให้ได้เอทานอล และนำกลับมาผสมกับน้ำมันเบนซินที่โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา 
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี
เสด็จฯ ไปทรงเปิดโรงงานแอลกอฮอล์ ในโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา

เราจะเห็นได้ว่าแก๊สโซฮอล์มีประโยชน์สำหรับประเทศชาติเรามากมาย ตัวเอย่างเช่น
     -
 เป็นพลังงานทดแทน ผลิตจากพืชเกษตรในประเทศ ใช้แทนสารเพิ่มออกเทนที่นําเข้าจาก ต่างประเทศ
     - ประหยัดเงินตราต่างประเทศมากกว่า 3,000 ล้านบาท ต่อปี
     - ประหยัดการใช้น้ำมันที่มีอยู่จํากัด โดยการนําเอทานอลมาผสมกับน้ำมันเบนซิน จะช่วยลดการใช้ น้ำมันของประเทศลงได้ประมาณ 10% หรือเดือนละ 25 ล้านลิตร
     - เกษตรกรไทยมีรายได้สูงขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากการผลิตเอทานอลที่ได้จากพืชเกษตร
     - ลดมลพิษทางอากาศ โดยลดไฮโดรคาร์บอน และคาร์บอนมอนนอกไซด์ ลงได้ 20-25 % ช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นปัจจัยหลัก ที่ก่อให้เกิดสภาวะ เรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ (GREEN HOUSE EFFECT) รวมทั้งลดควันดํา ลดสารอะโรเมติกส์ และลดสารเบนซีน
      -ช่วยกระจายการลงทุน การจ้างงานสู่ชนบท
      
ในประเทศไทย พลังงานทดแทนมีสองอย่างคือ ไบโอดีเซล และน้ำมันแก๊สโซฮอล์
          ไบโอดีเซล (Biodiesel) พลังงานทดแทนน้ำมันดีเซล เป็นเชื้อเพลิงที่ได้จากการนำน้ำมันพืช เช่น ปาล์ม ไขมันสัตว์ หรือน้ำมันพืชใช้แล้วมาทำปฏิกิริยาทางเคมีทรานส์เอสเตอริฟิเคชั่นได้เป็นสาร เอสเตอร์ ซึ่งมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำมันดีเซล เมื่อนำมาผสมกับน้ำมันดีเซลเกรดที่ใช้กันปัจจุบันในสัดส่วนร้อยละ 5-10 (B5-B10) สามารถนำมาใช้งานในเครื่องยนต์ดีเซลได้เป็นอย่างดี โดยไม่ต้องดัดแปลงเครื่องยนต์
          น้ำมันแก๊สโซฮอล์ (Gasohol) เป็นพลังงานทดแทนน้ำมันเบนซิน เกิดจากการผสมของน้ำมันเบนซินกับเอทานอลที่มีความบริสุทธิ์ร้อยละ 99.5 หรือเอทิลแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ผลิตจากผลผลิตทางการเกษตรผ่านกระบวนการหมัก กลั่นและทำให้บริสุทธิ์ โครงการแก๊สโซฮอล์เกิดขึ้นเมื่อปี 2528 จากพระอัจฉริยภาพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงตระหนักว่าประเทศไทยอาจประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำมันและปัญหาพืชผลทาง การเกษตรราคาตกต่ำ จึงโปรดเกล้าฯพระราชทานพระราชดำริแก่โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา ศึกษาถึงการนำอ้อยมาแปรรูปเป็นแอลกอฮอล์ (เอทานอล) ผสมกับน้ำมันเบนซินเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์
          น้ำมันแก๊สโซฮอล์ เริ่มทดลองใช้กับรถยนต์ในโครงการส่วนพระองค์ในปี 2537 โดยทดสอบกับเครื่องยนต์ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ได้ผลดีทั้งในห้องปฏิบัติและท้องถนน คุณสมบัติสำคัญของไบโอดีเซลคือ สามารถย่อยสลายได้เอง ตามกระบวนการชีวภาพในธรรมชาติ (biodegradable) และไม่เป็นพิษ (non-toxic) ในปัจจุบัน ต้นทุนการผลิตไบโอดีเซล ยังมีราคาแพงกว่าดีเซลจากปิโตรเลียมเมื่อไม่นับรวมถึงอัตราภาษีสรรพสามิต ในประเทศเยอรมนี ในปีพ.ศ. 2548 มีกำลังการผลิต 2 ล้านตันต่อปี ราคาจำหน่ายตามสถานีประมาณ 45 บาทต่อลิตร ถูกกว่าน้ำมันดีเซลเพราะมีการยกเว้นภาษีสรรพสามิต กระบวนการผลิตไบโอดีเซลคือปฏิกิริยาเคมี Transesterification หรือ Esterification
          ประเทศไทยริเริ่มโครงการไบโอดีเซลเมื่อปีพ.ศ.2543 และได้มีการติดตั้งระบบผลิตเอทธิลเอสเตอร์โดยโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา ตั้งแต่ 7 พ.ค.47 และได้มีการพัฒนาโครงการไบโอดีเซลชุมชนที่จ.เชียงใหม่ ปัจจุบัน(มี.ค.49) มีไบโอดีเซล 5% จำหน่ายในสถานีของ ปตท. และบางจากในกทม. และเชียงใหม่(ตามโครงการล้านนาฟ้าใสไบโอดีเซล)ทั้งหมด 15 สถานี   
ส่วนประโยชน์ของประชาชนทั่วไป คุณจะเห็นได้ง่ายๆ เลย อาทิเช่น
       - ได้ใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 95 ในราคาที่ประหยัดลง 50 สตางค์ต่อลิตร
       - ช่วยให้เครื่องยนต์เผาไหม่สะอาด สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
       - ได้มีส่วนช่วยเหลือเกษตรกร เพื่อนร่วมชาติให้ขายผลผลิตได้ในราคาที่สูงขึ้น
       - ได้ช่วยลดมลพิษทางอากาศ ซึ่งส่งผลถึงชีวิตตนเอง ลูกหลาน และเพื่อนร่วมชาติ
การ ใช้พลังงานนั้น หากเรารู้จักใช้ และประหยัดพลังงาน ก็จะทำให้ประเทศชาติเรามีพลังงานใช้ตลอดไป กลุ่มงานฯ หวังว่าเรื่องราวเกี่ยวกับแนวพระราชดําริ ผลิตแก๊สโซฮอล์ในโครงการส่วนพระองค์จะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยนะคะ ช่วยกันประหยัดพลังงาน ก็เหมือนกับช่วยชาติให้คงอยู่อย่างมั่น่คง ช่วยกันคนละนิดละหน่อย่ค่ะ แล้วพบกันใหม่ในครั้งต่อไปค่ะขอบคุณค่ะ


" Long Live The Great King Bhumibol Adulyadej "
“ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานองค์ภูมิพลอดุลยเดชมหาราชา

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก
http://king.kapook.com/job_power.php

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2554

พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย


 24 กันยายน วันมหิดล เป็นวันคล้ายวันทิวงคต (เสียชีวิต)ของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก (กรมหลวงสงขลานครินทร์) พระผู้ได้รับการถวายพระสมัญญาภิไธยจากแพทย์และประชาชนทั่วไปว่า "พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย"

 ประวัติพระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย
สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกหรือสมเด็จพระราชบิดา แห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน เป็นโอรสองค์ที่ 69 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระศรีสวรินทราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงประสูติ ณ วันศุกร์ขึ้น 3 ค่ำ เดือนยี่ ปีเถาะ ตรงกับ วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2434 พระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฎว่า "สมเด็จเจ้าฟ้าชายมหิดลอดุลยเดช นเรศวรมหาราชาธิบดินทร์ จุฬาลงกรณ์นรินทร์วรรางกูร สมบูรณ์เบญจพรศิริสวัสดิ์ ขัตติย วโรภโตสุชาติ คุณสังกาศ เกียรติประกฤษฐ์ ลักษณะวิจิตร พิสิษฐ์บุรุษย์ ชนุตรัตนพัฒนศักดิ์ อรรควรราชกุมาร"
สมเด็จพระราชบิดาทรงเข้าเป็นนักเรียนนายร้อยทหารบกหลังนั้นทรงเสด็จไปศึกษาวิชาการทหารชั้นสูงของเยอรมันนี
โดยสำเร็จการศึกษาจาก Imperial German Naval Collegeและทรงเข้ารับราชการในกองทัพเรือเยอรมันเป็นเวลา 3 ปี ต่อมาพระองค์ทรงลาออกจากกองทัพเรือของเยอรมันนี และทรงเข้ารับราชการในราชนาวีไทย ขณะทรงพระยศนายเรือโทได้เสด็จมาจังหวัดเชียงใหม่เป็นครั้งแรก และขณะทรงพระยศนายเรือเอก ได้เสด็จมาจังหวัดเชียงใหม่อีกครั้งหนึ่งเพื่อทรงเปิดโรงพยาบาลแมคคอร์มิค สถานอนามัย และโรงพยาบาลต่อมาพระองค์ทรงพระดำริว่า กิจการแพทย์และสาธารณสุขมีความสำคัญต่อประเทศไทยในขณะนั้นเป็นอย่างมาก และนับวันจะยิ่งสำคัญขึ้น พระองค์ทรงมีพระปรีชาญาณหยั่งการณ์ไกลว่าความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติและความผาสุข ของประชาชนชาวไทยมีความเกี่ยวโยงอย่างใกล้ชิดกับการแพทย์ และการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพสูงเมื่อทรงได้รับการชักชวนจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาชัยนาทนเรนทร และหม่อมเจ้าพูนศรีเกษม เกษมศรี ให้มาทรงช่วยงานในโรงพยาบาลศิริราชพระองค์จึงทรงลาออกจากราชการของกองทัพเรือ แล้วทรงอุทิศทั้งพระวรกาย พระปรีชา สามารถและพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์
เข้าช่วยเหลือ เพื่อวางรากฐานให้กับกิจการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา


ด้วยน้ำพระทัยอันมั่นคงกอปรด้วยพระนิสัยทำอะไรทำจริง พระองค์จึงทรงวิริยะอุตสาหะเสด็จไปทรงศึกษาวิชา
สาธารณสุขศาสตร์และวิชาแพทย์ โดยได้รับปริญญา C.P.H. และปริญญา Doctor of Medicine (M.D.) จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ประเทศสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2460 ระหว่างที่ทรงศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดนั้น พระองค์มิได้เคยคำนึงถึงความสุขส่วนพระองค์แม้แต่น้อย

ทรงวางแผนที่จะปรับปรุงและพัฒนาโรงเรียนราชแพทยาลัยและโรงพยาบาลศิริราชรวมทั้งได้ทรงเล็งเห็นความจำเป็น
ในการสร้างหลักสูตรการแพทย์ไทยให้ได้มาตรฐานทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ ด้วยพระปรีชาพระวิริยะ และพระจริยวัตรที่น่าเลื่อมใส ศรัทธา เป็นที่ประทับใจแก่ผู้เกี่ยวข้องจึงทำให้การติดต่อกับมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ เป็นผลสำเร็จอย่างดียิ่งโดยได้รับความช่วยเหลือเพื่อปรับปรุงด้านการศึกษาแพทย์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

พระองค์ทรงเล็งเห็นความจำเป็นในการสร้างสรรค์อาจารย์แพทย์และอาจารย์ในสาขาวิชาการต่างๆที่เกี่ยวข้อง จึงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นจำนวนมากในการส่งนักเรียนไทยไปศึกษาวิชาการแพทย์แขนงต่างๆ เช่น วิชาแพทย์วิชาพยาบาล วิชาวิทยาศาสตร์ ตลอดจนวิชาทันตแพทย์ โดยมีพระประสงค์จะให้บุคคลเหล่านั้นกลับมาเป็นครูที่ดี ช่วยปรับปรุงและส่งเสริมความรู้ในสาขาวิชาที่ยังบกพร่องให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นพระราชกรณียกิจของพระองค์ในโรงเรียนแพทย์ ได้ทรงถือหลัก 3 ประการคือ ให้การศึกษารักษาผู้ป่วยและค้นคว้าวิจัย ซึ่งในปัจจุบันแพทย์ทั่วไปก็ยังยึดถือเป็นหัวใจในการพัฒนาตนเองทรงปฏิบัติตนเป็นแบบฉบับที่หาผู้หนึ่งผู้ใดเสมอเหมือนได้ยาก ทรงเป็นตัวอย่างของนักศึกษาที่ดีและครูแพทย์ที่สมบูรณ์แบบทรงปลูกฝังอุดมคติของการเป็นแพทย์ ดังพระราชดำรัสที่พระราชทานไว้ว่า"ฉันไม่ได้ต้องการให้เธอเป็นเพียงหมออย่างเดียวเท่านั้นแต่ฉันต้องการให้เธอเป็นคนด้วย"

ด้วยพระคุณธรรมอันประเสริฐและน้ำพระทัยอันสูงส่งเป็นแบบอย่างของการอุทิศพระองค์ เพื่อประเทศชาติและการแพทย์ไทยประชาชนชาวไทย จึงซาบซึ้งและเทิดทูนพระเกียรติคุณดังพระราชสมัญญานามว่า"พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย"



พระองค์เปรียบเสมือนหนึ่งดวงประทีปที่ส่องแนววิถีอันประเสริฐ ซึ่งอนุชนรุ่นหลังพึงปฏิบัติตามพระองค์ โดย
ทรงดำเนินทางสายกลางซึ่งเป็นทางแห่งความพอดีและมีเหตุผล แม้จะทรงเป็นเจ้าโดยชาติกำเนิดแต่พระจริยาวัตรของพระองค์ก็ได้ก่อให้เกิดความนิยมและจงรักภักดีอย่างลึกซึ้ง ประกอบกับทรงสละพระองค์เองทั้งพระกำลัง พระสติปัญญา และพระราชทรัพย์เพื่อสร้างคุณประโยชน์ให้แก่ประชาราษฎร์ เสมือนหนึ่งพระองค์ทรงเป็นผู้รับใช้จนได้รับการถวายพระนามว่า "เจ้าที่มิใช่นาย" ด้วยพระปณิธานอันสูงส่งมิได้ทรงยอมให้ฐานันดรใดๆ มากีดกั้นระหว่างพระองค์ท่านและประชาชน พระองค์ได้เสด็จมาทรงปฏิบัติหน้าที่แพทย์ที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิค จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2472 ชาวเมืองเชียงใหม่รู้จักพระองค์ ในพระนามของ "หมอเจ้าฟ้า" พระองค์ทรงมีโอกาสปฏิบัติหน้าที่เยี่ยงสามัญชนด้วยความศรัทธา อย่างแท้จริงเพียง 3 สัปดาห์ ก็ต้องเสด็จกลับกรุงเทพฯเพราะทรงพระประชวรพระองค์ทรงมีพระชนม์ชีพเพื่อทรงเกื้อหนุนผู้อัตคัตขัดสนและผู้ประสบโรคาพยาธิ  มิได้ทรงเอาพระทัยใส่ต่อพระองค์เองเพราะทรงมุ่งแต่โอบอุ้มผู้อื่นจนถึงวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ เมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 เมื่อทรงมีพระชนมายุได้เพียง 37 พรรษาเศษ พระองค์ทรงเป็นแบบฉบับของบุคคลทุกอาชีพประกอบด้วยเมตตาธรรม และคุณธรรมอันประเสริฐ ทรงเสียสละให้ผู้อื่นโดยมิได้ทรงหวังผลตอบแทนด้วยลาภ ยศ สุข และสรรเสริญ ประพฤติเหตุทั้งปวง

จึงเป็นเครื่องเชิดชูพระเกียรติคุณของพระองค์ในฐานะแพทย์ พระองค์ทรงเป็นตัวอย่างอันประเสริฐแก่แพทย์ทั่วไป
ทรงเสียสละเพื่อความเจริญของกิจการแพทย์โดยส่วนรวม แม้พระองค์ได้ทรงจากพวกเราไปสู่สุขคติภพแล้ว คงเหลือแต่พระกรณียกิจและพระเกียรติคุณเป็นรอยตรึงใจจารึกแก่ผู้อยู่เบื้องหลังและเบื้องหน้าต่อไปที่มิอาจลืมเลือนได้ตราบเท่ากัลปวสาน
น้อมสำนึกพระเมตตา
เชิญท่านตามรอยพระบาทพระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย ช่วยผู้ป่วยยากไร้ ร.พ. ศิริราช
กิจกรรมรับบริจาคสมทบทุนศิริราชมูลนิธิ

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 ได้จัดให้มี กิจกรรมออกรับบริจาคสมทบทุนศิริราชมูลนิธิ เนื่องในวันมหิดล โดย คณะนักศึกษาแพทย์และพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ในช่วงเดือนสิงหาคม – กันยายน ของทุกปี ซึ่งเมื่อบริจาคทุก 500 บาท จะมี ธงสัญลักษณ์วันมหิดล พร้อมเสาธง มอบเป็นของที่ระลึก เมื่อบริจาคทุก 20 บาท จะมี ธงสัญลักษณ์วันมหิดล มอบเป็นของที่ระลึก และ เมื่อบริจาคเงินสมทบทุนศิริราชมูลนิธิ จะมี สติกเกอร์วันมหิดล มอบเป็นของที่ระลึกวันมหิดลมีเป็นประจำทุกปี



Long Live The Great King Bhumibol Adulyadej,
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ องค์ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช



ขอบคุณที่มาจากวิกิพีเดียไทยและเว็บไซต์วันมหิดล

พระราชดำรัสของในหลวง...(บางตอน)



ผู้ที่จะรักษาความเป็นไทยได้มั่นคงที่สุด ดี และเหมาะสมที่สุด ไม่มีใครอื่นนอกจากคนไทย เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะอยู่ ณ แห่งใด คนไทยมีหน้าที่ต้องรักษาความเป็นไทย เสมอ
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่สมาคมนักเรียนไทยในประเทศญี่ปุ่น 27 ก.พ. 2537


พระราชกรณียกิจด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศ

โดยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นประมุขของประเทศ ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่างๆ หลายประเทศ ทั้งในทวีปเอเชีย ทวีปยุโรป และทวีปอเมริกาเหนือ เพื่อเป็นการเจริญทางพระราชไมตรีระหว่างประเทศไทย

วันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๐๓
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมสมเด็จพระนางเจ้าฯ บรมราชินีนาถ ไปเสวยพระกระยาหารกลางวัน จัดถวายเป็นพระเกียรติโดย The Motion Picture Association of America, Los Angeles หลังจากนั้น พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสแก่ผู้เข้าเฝ้าทั้งหลาย ดังนี้
 Ladies and Gentlemen,
Allow me to say that this is a very happy day indeed for us, for we are walking upon the clouds and rubbing shoulders with stars. The stars beam their lights all over the universe, and most of our Thai people are great filmgoers and follow the careers of their favourite stars with the keenest interest. I may say a little regretfully that many youthful “fans” sometimes know more about the film stars than they do about their subjects at school.
Today we have come very near to the intricacies of film production and have met with the other importants which also play a vital role in making Hollywood what it is. Hollywood is a name that conjures up in the mind of the greatest number of people many things--- beauty, adventure, magic, mystery. In many cases it also conjures up the image of America and the character of the American people. Hence, the treatment and the presentation of the subject in the film being produced are of the greatest importance. Your responsibility is great and I think you are well aware of it.
The film is one of the most powerful mass media of today. It can play a most potent part in bringing about international understanding. I would like now to confide in something just between the King and you. It’s about “The King and I”. Although this film was produced with the best of intentions and acted brought about a serious incident between our two countries. The Thai people have always shown a great reverence to their kings and take it badly if one of their kings is depicted in a comedy. Having seen the film myself, I personally regard it as very entertaining and magnificent, and might have recommended it, had I now known the true historical facts and the sentiments of my people. The film, however, has done considerable service to my country. It has been a great piece of public relations for us. I would like to thank you now for inviting us to visit one of your most famous studios and for the kind reception and lucheon arranged for us.
I now ask you to rise and drink to the continued success and prospertiy of His Excellency the President of the United States, to the American people and to the Paramount Pictures Studio.

ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษทั้งหลาย
อาจกล่าวได้ว่า วันนี้เป็นวันที่ข้าพเจ้าและพระราชินีมีความยินดีเป็นอันมาก ที่ได้ย่างกรายมาอยู่ในหมู่เมฆ กระทบไหล่ของเหล่าบรรดาดาราทั้งหลาย ดาราที่ส่องแสงจรัสเจิดจ้าไปทั่วจักรวาล ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ชอบชมภาพยนตร์ และก็ติดตามผลงานการแสดงของดาราที่ตนชื่นชอบด้วยความใส่ใจเป็นอย่างยิ่ง อาจเป็นที่ผิดหวังเล็กน้อย ที่ผู้ชื่นชมดาราในกลุ่มเยาวชน จะมีความรอบรู้เรื่องดาราภาพยนตร์มากกว่าวิชาการในโรงเรียนของตน
ปัจจุบัน เป็นยุคการผลิตภาพยนตร์ที่มีความละเอียดซับซ้อน ทำให้บทบาทของ Holly Wood สำคัญอย่างเด่นชัด ชื่อ Holly Wood นั้นรังสรรค์ ให้เห็นภาพต่างๆ ในใจของ บุคคลที่มีชื่อเสียงมากมาย อาทิ ความงาม การตื่นเต้นผจญภัย เวทย์มนต์ และ ความลึกลับ ในหลายๆกรณี ยังสะท้อนให้เห็นภาพลักษณ์ของประเทศอเมริกา และ คุณลักษณะของชนอเมริกัน ดังนั้นกระบวนการสร้างภาพยนตร์ และการนำเสนอเรื่องราวในภาพยนตร์นั้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ความรับผิดชอบของท่านในเรื่องนี้จึงสำคัญยิ่ง และ หวังว่าท่านคงได้ตระหนักในเรื่องนี้เป็นอย่างดี ปัจจุบันภาพยนตร์เป็นสื่อหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ช่วยสร้างความเข้าใจในระดับนานาชาติ
ณ โอกาสนี้จะขอถือโอกาสเผยความในใจอันเป็นเรื่องเฉพาะระหว่าง พระเจ้าแผ่นดิน กับ ทุกท่านในเรื่องทีเกี่ยวกับภาพยนตร์ ที่ชื่อว่า พระเจ้าแผ่นดิน กับ ฉัน” (The King and I) แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะผลิตขึ้นมาด้วยความตั้งใจดีอย่างที่สุด แต่การแสดงออกมาก็ก่อให้เกิดประเด็นขึ้นในระหว่างประเทศของเราทั้งสอง ประชาชนชาวไทยจักแสดงความเคารพต่อพระมหากษัตริย์ของเขาเสมอ และยอมไม่ได้ถ้าที่จะเห็นการนำเสนอภาพลักษณ์ของพระมหากษัตริย์พระองค์ใดพระองค์หนึ่งในเชิงที่ชวนหัว หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ชมภาพยนตร์นี้แล้ว ส่วนตัวข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นภาพยนตร์ที่ สนุกสนาน ตระการตา และคงจะได้แนะนำให้ผู้อื่นได้รับชม ถ้าข้าพเจ้าจะมีความรู้จริงในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และเข้าใจในความรู้สึกประชาชนไทยอย่างถ่องแท้ อย่างไรก็ตาม ภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้ก่อให้เกิดผลดีต่อประเทศของข้าพเจ้ามากมาย เพราะเป็นผลงานทางด้านการประชาสัมพันธ์ ให้แก่ประเทศไทย ขอขอบใจที่ท่านได้เชิญข้าพเจ้าและพระราชินีมาเยี่ยมชมโรงถ่ายทำภาพยนตร์ทีดีเยี่ยม ณ ที่นี้ พร้อมทั้งให้การต้อนรับและ จัดอาหารกลางวันเลี้ยงรับรอง ได้เวลาอันสมควรแล้ว ขอเชิญทุกท่านร่วมกันดื่มเพื่ออวยพร เพื่อความสำเร็จ และ ความเจริญรุ่งเรืองแก่ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา และ ประชาชนชาวอเมริกัน และ แด่โรงถ่ายทำภาพยนตร์ Paramount Pictures Studio

ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า ขอรับพระราชทานบรมราชานุญาต แปล พระราชดำรัสของพระองค์ จากฉบับภาษาอังกฤษ มาเป็นภาษาไทย เพื่อให้เพื่อนใน Facebook ได้อ่านกัน เพื่อประโยชน์ในการเข้าใจและระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านในการทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ เพื่อประโยชน์ต่อประเทศไทย และ พสกนิกรของพระองค์ ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ

บทความแปลนำมาจากอินเตอร์เน็ต

" Long Live The Great King Bhumibol Adulyadej "
“ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานองค์ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช”