วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554

เรารักในหลวงและราชวงศ์จักรี (We Love Chakri Dynasty)


 เรารักในหลวงและราชวงศ์จักรี (We Love Chakri Dynasty)
สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นสถาบันหลักและสถาบันอันสูงสุดของชาติไทย เพราะเป็นสถาบันหนึ่งช่วยให้เราได้มีแผ่นดินอยู่จนถึงลูกหลานเราทุกวันนี้

 ไทยรวมกำลังตั้งมั่น จะสามารถป้องกันขันแข็ง ,
ถึงแม้ว่าศัตรูผู้มีแรง มายุทธแย้งก็จะปะลาศไป .
ขอแต่เพียงไทยเราอย่าผลาญญาติ ; ร่วมชาติร่วมจิตเป็นข้อใหญ่ ;
ไทยอย่ามุ่งร้ายทำลายไทย จงพร้อมใจพร้อมกำลังระวังเมือง .
ให้นานาภาษาเขานิยม ชมเกียรติยศฟูเฟื่อง ;
ช่วยกันบำรุงความรุ่งเรือง , ให้ชื่อไทยกระเดื่องทั่วโลกา .
ช่วยกันเต็มใจใฝ่ผดุง บำรุงทั้งชาติศาสนา ,
ให้อยู่จนสิ้นดินฟ้า ; วัฒนาเถิดไทย , ไชโย

กว่าเราจะมาเป็นไทยในวันนี้

ประวัติศาสตร์คืออดีต แต่เรื่องชาติไม่มีคำว่าเป็นอดีต มีแต่อดีตเป็นปัจจุบัน และปัจจุบันเป็นอนาคต
ลองทบทวนความจำเป็นการเช็กกรุ๊ปเลือดกันหน่อยดีมั้ย ท ทหารรักชาติศาสตร์ กษัตรืย์ พอกรีดเลือดออกมา จะมีทหารสักกี่คนี่ยังรักชาติอยู่บ้าง? หรือว่าจะทหารรักเงิน ไปซะหมดแล้ว????
ประเทศไทยไม่มีอะไรสามารถซื้อได้ นอกจาก....เงิน!
โดยเฉพาะรัฐบาล-ข้าราชการ-ทหาร-ตำรวจ-ประชาชน ไม่ใช่โกงเพื่อชาติ แต่ "โกงชาติเพื่อกู"

"เลือดไม่เคยจาง" ตอนเรียนประวัติศาสตร์ชั้น ป.๔ รู้จัก "สันดานเขมร" ตามที่ "พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช" ทรงออกพระโอษฐ์ว่า "ตระบัดสัตย์ เลี้ยงไม่เคยเชื่อง ต้องปราบให้ราบ" ผ่านมาอีก ๔๔๑ ปี โดยประมาณ ถึง ณ วันนี้ เขมรก็ยังคงสืบทอดสายเลือดบรรพบุรุษไว้ได้คงที่ ทั้งตระบัดสัตย์ เลี้ยงไม่เชื่อง เผลอเป็นต้องแว้งกัด "มาตรฐานคงเดิม"



“สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวได้ทรงฟังคำพระยาละแวกดังนั้นจึงตรัสว่า
เราได้ออกวาจาไว้แล้วว่า ถ้ามีชัยแก่ท่านเราจะทำพิธีปฐมกรรม
เอาโลหิตท่านล้างบาทาเสีย ให้จงได้
ท่านอย่าอาลัยแก่ชีวิตเลย จงตั้งหน้าหาชอบในปรโลกนั้นเถิด”

พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหมอบรัดเล

ปี พ.ศ.๒๐๗๕ ในรัชสมัยพระมหาจักรพรรดิ (ช่วงเปลี่ยนแผ่นดินจากพระชัยราชามาเป็นพระเทียรราชาหรือพระมหาจักรพรรดิ) กรุงหงสาวดีได้ยกทัพมาตีไทย ฝ่ายเขมร-พระยาละแวก เห็นได้ทีจึงยกทัพเข้ามาทางปราจีนบุรีกวาดต้อนผู้คนกลับไปเขมรจำนวนมาก หลังจากยกทัพกลับไป สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงพิโรธมาก จึงมีรับสั่งให้ยกทัพไปถึงเมืองพระตะบองและละแวก
พระยาละแวกเห็นท่าจะ แพ้ในการศึก จึงมีราชสาสน์มากราบทูลพระมหาจักรพรรดิ จับใจความได้ว่า "ข้าพระองค์ผู้ปกครองกัมพูชา มิได้เกรงพระบรมเดชานุภาพที่ไปกวาดต้อนคนจากปราจีนบุรี ขออย่าทรงพิโรธยกทัพมาตีเมือง ข้าพเจ้าจะนำเครื่องราชบรรณาการมาถวาย และเป็นข้าพระบาทตราบชั่วกัลปาวสาน "
หลังจากนั้น ๓ วัน พระยาละแวกได้นำเครื่องราชบรรณาการพร้อมด้วยนักพระสุโทและนักพระสุทันเป็น ราชบุตรมาเข้าเฝ้าฯ ทางพระมหาจักรพรรดิก็ทรงคลายพิโรธและขอนำโอรสทั้งสองไปเลี้ยงดู พระยาละแวกก็ยอม จากนั้นก็กวาดต้อนคนชาวปราจีนบุรีกลับคืนมาฝั่งไทย ต่อมาไม่นาน ญวนได้ยึดเมืองละแวก ไทยจึงส่งกองทัพไปช่วยเพื่อตีเมืองคืน แต่ทำไม่สำเร็จ

ในปี พ.ศ.๒๑๑๓ รัชสมัยพระมหาธรรมราชา หลังจากที่ไทยเสียกรุงให้แก่พม่าเพียงปีเดียว พระยาละแวกได้ถือโอกาสเข้ามาปล้นและตีเมืองนครนายก (ทั้งที่เคยให้สัจจะว่าจะขอเป็นข้าพระบาทกษัตริย์ไทยชั่วกัลปาวสาน) พระมหาธรรมราชาจึงมีรับสั่งให้ยกทัพไปปราบ ให้ทหารนำปืนจ่ารงค์ยิงไปถูกพระจำปาธิราชของเขมรตายคาที่บนคอช้าง
ทัพ ของเขมรถอยกลับไป แต่ก็ย้อนกลับมาปล้นเมืองอีกหลายครั้ง นอกจากนี้พระยาละแวกยังนำทัพมากวาดต้อนผู้คนแถวจันทบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา กลับไปเขมรจำนวนมาก ด้วยความคดในข้องอในกระดูก พระยาละแวกได้ยกทัพมาถึงปากน้ำพระประแดง โจมตีเมืองธนบุรี จับชาวเมืองธนบุรีและนนทบุรีเป็นเชลยจำนวนมาก เลยได้ใจรวบรวมคนหมายจะตีกรุงศรีอยุธยา แต่งทัพเรือ ๓๐ ลำเข้าปล้นบ้านนายก่าย
แต่โชคไม่ดี ถูกปืนใหญ่ของไทยยิงตายเป็นจำนวนมาก ฝ่ายเขมรแตกทัพหนีกลับไปทางพระประแดง (หนีไม่หนีเปล่ายังกวาดต้อนผู้คนแถวสาครบุรีกลับไปอีกด้วย..เลวจริงๆ)

ใน ปี พ.ศ.๒๑๒๙ พระยาละแวกเห็นว่าไทยกำลังสู้ศึกหงสาวดีอยู่ จึงฉวยโอกาสยกทัพเข้ามาตีเมืองปราจีน สมเด็จพระนเรศวรตรัสว่า "พระยาละแวกตระบัดสัตย์อีกแล้ว จึงต้องยกไปปราบให้ราบคาบ" ผลการศึกกองทัพไทยไล่ตีเขมรไปจนสุดชายแดน ทหารเขมรล้มตายจำนวนมาก
ในปี พ.ศ.๒๑๓๒ หลังจากสมเด็จพระนเรศวรทรงขึ้นครองราชย์ ทรงปรึกษาข้าราชการว่า กษัตริย์เขมรมีใจคิดไม่ซื่อเหมือนพระยาละแวก ชอบซ้ำเติมไทยในยามศึกกับพม่า จึงทรงพระราชดำริที่จะยกทัพไปแก้แค้นเอาโลหิตมาล้างพระบาท ทรงจัดกองทัพให้ไปตีเมืองปัตบอง เมืองโพธิสัตว์ แล้วเข้าล้อมเมืองละแวกเอาไว้ ทรงล้อมเมืองนานถึง ๓ เดือนยังตีไม่ได้ เสบียงอาหารเริ่มลดน้อยลงจึงมีรับสั่งให้ยกทัพกลับ
ต่อมาในปี ๒๑๓๖ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงยกทัพกลับไปตีอีกครั้ง ฝ่ายเขมรขอกำลังญวนมาช่วย แต่สู้กองทัพไทยไม่ไหว สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงจับ "พระยาละแวก" ประหารชีวิตสังเวยความเป็นคน "เลี้ยงไม่เชื่อง" ซะ!

“พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง
โททนต์เสน่งคง สำคัญหลายในกายมี
นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา”
(สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส : กฤษณาสอนน้องคำฉันท์)


เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาอ่านข่าวที่อดีตนายกที่เคยเป็นผู้นำรัฐบาลมา 8 ปี ผู้ที่ไม่สามารถจะเดินทางกลับประเทศไทยได้ เพราะว่าเป็นนักโทษหนีคดี....แล้วยังเหลือคดีทุจริตคอรัปชั่นที่ยังค้างศาลอีกหนึ่งกระบุงโกย...ตอนที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย...เขามาเล่นการเมืองเพื่อธุรกิจครอบครัว...เอาผลประโยชน์ของชาติไปเป็นของตัวเอง....ปัจจุบันคดีต่างๆ จำหน่ายไปก่อน...เดินทางจากดูไบไปเยือนเขมร...ข่าวว่าไปเจรจาความเมือง และธุรกิจน้ำมันในอ่าวไทย...เขาไปเพื่อผลประโยชน์ ของกู..จากข่าวจากหลาย ๆ ปีมานี้เขมรเหิมเกริม ฟ้องร้อง จ้องยึดดินแดนที่เป็นของไทย...ยังไม่เจ็บใจเท่าการกระทำของอดีตนายกไทย....ที่เนรคุณแผ่นดินเกิดของตนเอง...
เขมรรักชาติ เนรคุณไทย ยังไม่เจ็บใจเท่าทักษิณร่วมมือฮุนเซ็นเข่นไทย

อาจารย์หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี และนักคิดคนสำคัญคนหนึ่งของประเทศไทย ที่เขียนถึงพฤติกรรมโดยรวมของผู้นำเขมรในอดีตที่กระทำต่อพระราชอาณาจักรไทย เชื่อว่าเมื่อได้อ่านแล้ว ท่านอาจจะได้พบกับความจริงบางประการที่ว่า คนที่มันไม่เชื่อง ทำอย่างไรกับมัน ไม่ว่าจะดีสักเพียงไหน มันก็ไม่มีวันเชื่อง ย้อนหลังกลับไปเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2502 ก่อนที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลกจะตัดสินให้ทางการกัมพูชามีอธิปไตยเหนือดินแดนปราสาทพระวิหาร

เขมรเนรคุณ คึกฤทธิ์ร่ายกลอนไว้ เมื่อปี ๒๕๐๒ ไทยเจ็บไม่จำ

         "สัปดาห์นี้มีเรื่องความเมืองใหญ่           ไทยถูกฟ้องขับไล่ขึ้นโรงศาล
เคยเป็นเรื่องโต้เถียงกันมานาน             ที่ยอดเขาพระวิหารรู้ทั่วกัน
กะลาครอบมานานโบราณว่า                 พอแลเห็นท้องฟ้าก็หุนหัน
คิดว่าตนนั้นใหญ่ใครไม่ทัน                   ทำกำเริบเสิบสันทุกอย่างไป
อันคนไทยนั้นสุภาพไม่หยาบหยาม      เห็นใครหย่อนอ่อนความก็ยกให้
ถึงล่วงเกินพลาดพลั้งยังอภัย           ด้วยเห็นใจว่ายังเยาว์เบาความคิด
เขียนบทความด่าตะบึงถึงหัวหู                 ไทยก็ยังนิ่งอยู่ไม่ถือผิด
สั่งถอนทูตเอิกเกริกเลิกเป็นมิตร             แล้วกลับติดตามต่อขอคืนดี
ไทยก็ยอมตามใจไม่ดึงดื้อ           เพราะไทยถือเขมรผองเหมือนน้องพี่
คิดตกลงปลงกันได้ด้วยไมตรี              ถึงคราวนี้ใจเขมรแลเห็นกัน
หากไทยจำล้ำเลิกบ้างอ้างขอบเขต   เมืองเขมรทั้งประเทศของใครนั่น?
ใครเล่าตั้งวงศ์กษัตริย์ปัจจุบัน           องค์ด้วงนั้นคือใครที่ไหนมา?
เป็นเพียงเจ้าไม่มีศาลซมซานวิ่ง      ได้แอบอิงอำนาจไทยจึงใหญ่กล้า
ทัพไทยช่วยปราบศัตรูกู้พารา          สถาปนาจัดระบอบให้ครอบครอง
ได้เดชไทยไปคุ้มกะลาหัว                 จึงตั้งตัวขึ้นมาอย่างจองหอง
เป็นข้าขัณฑสีมาฝ่าละออง                 ส่งดอกไม้เงินทองตลอดมา
ไม่เหลียวดูโภไคไอศวรรย์          ทั้งเครื่องราชกกุธภัณฑ์เป็นหนักหนา
ฝีมือไทยแน่นักประจักษ์ตา               พราะทรงพระกรุณาประทานไป
มีพระคุณจุนเจือเหลือประมาณ            ถึงลูกหลานกลับเนรคุณได้
สมกับคำโบราณท่านว่าไว้               อย่าไว้ใจเขมรเห็นจริงเอย...

---------------------------------------
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช หนังสือพิมพ์สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๐๒


" Long Live The Great King Bhumibol Adulyadej "
“ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานองค์ภูมิพลอดุลยเดชมหาราชา


ขอบคุณแหล่งข้อมูล
http://www.bandhit.com/History/History.html
http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2051005

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น