หนุ่มไทยพิชิต เอเวอเรสต์ งาน 60 ปี ครองราชย์บันดาลใจ
ก่อนวันที่ 5 ธันวา ขอให้ทุกท่านชมคลิปวีดีโอ ของหนุ่มไทยพิชิต หนุ่มไทยพิชิต "เอเวอเรสต์" เผย แรงบันดาลใจไต่เหยียบเมฆจากงานเทิดพระเกียรติ 60 ปี ครองราชย์ ภาคธุรกิจไทยเมินสุดท้ายได้เวียดนามสนับสนุน แฉภารกิจสุดหินซ้อมปีนเขาอยู่หลายประเทศก่อนพิชิตยอดเขาดัง
คงมีไม่บ่อยครั้งที่คนไทยจะมีโอกาสสร้างประวัติศาสตร์ ปีนเขาเอเวอเรสต์ ยอดเขาสูงที่สุดในโลก ซึ่งสูง 8,848 เมตรจากระดับน้ำทะเล แต่ด้วยความเพียรพยายาม และความศรัทธาอันแรงกล้า ทำให้นายวิทิตนันท์ โรจนพานิช อายุ 39 ปี ชาว กทม. สามารถฟันฝ่าอุปสรรคได้สำเร็จและสร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นคนไทยคนแรกที่ สามารถพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ได้เป็นผลสำเร็จ
นายวิทิตนันท์ ประกอบอาชีพครีเอทีฟรายการโทรทัศน์ และกำลังจะผันตัวเองไปเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ ซึ่งด้วยสายงานดังกล่าวแทบจะไม่มีโอกาสให้ชายหนุ่มผู้นี้ไปเกี่ยวข้องกับ เรื่องราวของการเสี่ยงตายอย่างการปีนยอดเขามรณะเอเวอเรสต์ ที่แต่ละปีมีคนจากทั่วโลกเอาชีวิตไปทิ้งบนยอดเขาแห่งนี้จำนวนมากได้
แต่ด้วยนายวิทิตนันท์ เป็นคนที่ชื่นชอบการผจญภัย ชอบการดำน้ำ ชอบขับเครื่องบินเล็ก และชอบการเดินทางไปทั่วทุกมุมโลก ทำให้หนุ่มใหญ่ผู้นี้มีโอกาสพบกับนายดูล สวี เชาว์ นักปีนเขาที่เป็นคนแรกของประเทศสิงคโปร์ที่ขึ้นไปเหยียบยอดเขาเอเวอเรสต์ ขณะร่วมทริปไปดำน้ำในประเทศพม่า เมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา
ในการพบกับนายดูล สวี เชาว์ ครั้งนั้นเหมือนเป็นการจุดประกายให้นายวิทิตนันท์ มีความคิดที่จะเป็นคนไทยคนแรกที่นำธงชาติไทยไปปักลงบนยอดเขาที่ได้ชื่อว่า เป็นยอดเขาสูงที่สุดของโลก
"ดูล สวี เชาว์ เขาพูดกับผมว่าอยากให้มีคนไทยปีนยอดเขาเอเวอเรสต์ สำเร็จอย่างเช่นคนสิงคโปร์ทำ ผมบอกกับเขาไปในวินาทีนั้นเลยว่า คนไทยทำอะไรได้ทุกอย่างและผมนี่แหละจะเป็นคนไทยคนแรกที่ไปเหยียบยอดเขาลูก นั้น" นายวิทิตนันท์เล่าถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้ต้องไปปีนเขาเอเวอเรสต์
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นายวิทิตนันท์ขวนขวายที่จะเดินทางไปปีนยอดเขาเอเวอเรสต์ให้สำเร็จ โดยเริ่มแรกไปทดลองปีนเขาชินาบูลู ในประเทศมาเลเซีย ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเล 4,095 เมตร
นายวิทิตนันท์กล่าวอีกว่า ต้องการให้คนทั่วโลกรู้จักคนไทยในมุมอื่นๆ ที่นอกเหนือจากมวยไทย หรือต้มยำกุ้ง และต้องการแสดงให้คนชาติไหนๆ ได้เห็นว่าคนไทยก็สามารถทำอะไรได้เหมือนคนชาติอื่นทำได้ และตั้งใจว่าในชีวิตนี้จะต้องไปยืนบนยอดเขาเอเวอเรสต์ให้ได้
แต่การปีนเขาสูงที่สุดในโลกของนายวิทิตนันท์ มีอุปสรรคสำคัญคือค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า 2 ล้านบาท จึงต้องหาทางแก้โดยการประกาศหาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ผ่านเครือข่ายอิน เทอร์เน็ต แต่ก็ต้องพับโครงการไปเพราะติดขัดเรื่องเวลาที่ไม่เอื้ออำนวยระหว่างคนใน กลุ่ม
นายวิทิตนันท์บอกว่า ในช่วงแรกรู้สึกท้อเพราะอุปสรรคมีมาก กระทั่งเมื่อปี 2549 เกิดแรงบันดาลใจครั้งใหญ่ คือเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครองราชย์ครบ 60 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเหน็ดเหนื่อยเพื่อคนไทยกว่า 60 ล้านคนมาอย่างยาวนาน ตนซึ่งเป็นคนไทยควรทำอะไรเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระองค์ท่าน
ต่อมาเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2549 นายวิทิตนันท์ตัดสินใจเดินทางไปยังประเทศเนปาล เพื่อไปทดลองปีนเขาเอเวอเรสต์ พร้อมทั้งถ่ายภาพตัวเองขณะปีนเขาเพื่อนำกลับมาทำเป็นชิ้นงานเสนอขอสปอนเซอร์ จากภาคธุรกิจ ในการเดินทางครั้งนั้นนายวิทิตนันท์ปีนเขาเอเวอเรสต์ได้ในระดับความสูงเพียง 5 ,000 กว่าเมตร เนื่องจากขาดอุปกรณ์การปีนเขาที่มีประสิทธิภาพเพราะราคาสูง
"หลังจากกลับมาถึงประเทศไทยผมใช้เวลาหาสปอนเซอร์อยู่นานเกือบ 2 ปี แต่ก็ไม่มีใครให้ โดยส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าคนอย่างผมจะทำได้ กระทั่งพบกับคุณนิรัตติศัย กัลย์จาฤก ผู้บริหารบริษัทกันตนา ซึ่งให้ความสนใจกับแผนการของผม ต่อมาคุณนิรัตติศัย และผู้บริหารกันตนาก็ได้พยายามหาสปอนเซอร์ให้ แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากนักธุรกิจในประเทศไทยแม้แต่รายเดียว โชคดีที่คุณจารึก กัลย์จาฤก รู้จักกับบริษัทแห่งหนึ่งในประเทศเวียดนามซึ่งสนใจที่จะสนับสนุน" นายวิทิตนันท์กล่าว
นายวิทิตนันท์กล่าวว่า การให้การสนับสนุนของบริษัทธุรกิจจากเวียดนามมาในรูปของการร่วมกันผลิต รายการโทรทัศน์ในลักษณะเรียลิตี้ไปเผยแพร่ในประเทศเวียดนาม โดยเปิดรับอาสาสมัครชาวเวียดนามมาร่วมเดินทางไปพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ โดยมีตนเป็นหัวหน้าทีม
การคัดสรรชาวเวียดนามนั้น ในระยะแรกมีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการถึง 3,000 คน ก่อนที่จะคัดเหลือเพียง 4 คน ซึ่งระหว่างการคัดตัวนั้นมีการถ่ายทำเผยแพร่เป็นรายการเรียลิตี้โชว์ออก อากาศทางโทรทัศน์ในเวียดนาม ในวันจันทร์ถึงวันเสาร์วันละ 5 นาที และในวันอาทิตย์ 30 นาที
นายวิทิตนันท์บอกด้วยว่า ระหว่างการคัดตัวนั้นมีการฝึกร่างกายให้มีความแข็งแรงเพื่อเตรียมพร้อมในการ พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ โดยไปปีนเขา ฟางสิปัง ในเวียดนามที่สูงจากระดับน้ำทะเล 3,100 เมตร และปีนยอดเขาชินาบาลู ในประเทศมาเลเซีย สูง 4,095 เมตร เพื่อสร้างความเคยชินและเรียนรู้วิธีการปีนเขา และปิดท้ายการฝึกซ้อมโดยการปีนเขาไอซ์แลนด์ฟิกส์ ซึ่งเป็นภูเขาน้ำแข็งสูง 6,189 เมตร ในประเทศเนปาล เพื่อให้นักปีนเขาเคยชินกับสภาพอากาศและภูมิประเทศของภูเขาลูกนี้ที่มีความ ใกล้เคียงกับยอดเขาเอเวอเรสต์
การเตรียมร่างกายของนักปีนเขาชุดนี้ใช้เวลาในการเตรียมตัวนานกว่า 8 เดือน ก่อนที่จะปฏิบัติภารกิจสุดท้ายคือการปีนยอดเขาสูงที่สุดในโลก
นายวิทิตนันท์เล่าว่า เขาเดินทางออกจากประเทศไทยไปยังประเทศเนปาล ในวันที่ 8 เมษายน 2551 เพื่อปฏิบัติภารกิจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต และเดินทางกลับสู่มาตุภูมิในวันที่ 3 มิถุนายน ที่ผ่านมา ตลอดระยะเวลา 2 เดือนเต็มในช่วงดังกล่าว เขาและเพื่อนร่วมทางชาวเวียดนามต้องใช้ชีวิตอยู่บนภูเขาที่ได้ชื่อว่าเป็น หลังคาโลก
"ชีวิตบนนั้นลำบากมากอากาศหนาวและแห้ง มีแต่ก้อนหิน กับหิมะ อุณหภูมิกลางวัน 15 องศาเซลเซียส บ่ายเหลือ 0 องศาเซลเซียส กลางดึกอุณหภูมิติดลบ 25 องศาเซลเซียส หากคืนไหนมีหิมะตกก็เหมือนอยู่ในนรกไม่มีผิด นอกจากอากาศแล้วอาหารก็แทบกินไม่ได้มีเพียงเนื้อที่ผ่านการปรุงจากชาวแชร์ปา รสชาติไม่ต้องพูดถึง อีกทั้งในแต่ละวันที่ปีนเขาจะต้องเดินทางตลอดทั้งวันจนกว่าจะถึงแคมป์ที่พัก โดยจุดที่ยากสุดคือบริเวณที่ผ่านพื้นที่ที่เรียกว่า คลุมบูไอซอล แปลเป็นไทยคือหิมะถล่ม จุดนี้ยากมากหากพลาดหมายถึงเอาชีวิตไปทิ้ง" นายวิทิตนันท์กล่าว
ผู้พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์คนแรกของไทยกล่าวด้วยว่า แต่เมื่อเดินทางบริเวณแคมป์ 4 ซึ่งมีโอกาสได้พัก 4 ชั่วโมงก่อนที่จะขึ้นไปยังจุดซามิต ปลายยอดของภูเขาเอเวอเรสต์ สิ่งแรกที่ทำคือหยิบพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งใส่ไว้ ในเป้บนหลังมาดู เพื่อเป็นกำลังใจ ก่อนที่จะเดินทางออกจากแคมป์ 4 ไปยังซามิต ที่ต้องใช้เวลาการเดินทางอีก 7 ชั่วโมง
"7 ชั่วโมงจากแคมป์ 4 ไปยังซามิต ผมพะวงอย่างเดียว กลัวพระบรมฉายาลักษณ์ กับธงชาติ หล่นหาย เพราะเส้นทางลำบากมาก แต่เมื่อถึงซามิต ผมโล่งอก พระบรมฉายาลักษณ์ยังอยู่ ธงชาติยังอยู่ ผมรีบหยิบพระบรมฉายาลักษณ์ออกมาชูขึ้นเหนือหัวและให้ มร.แชรัม แชร์ปา หัวหน้าทีมแชร์ปา ถ่ายภาพให้ ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นถามผมว่าคนในภาพเป็นพ่อผมหรือ ผมตอบเขาว่าใช่นอกจากจะเป็นพ่อผมแล้วยังเป็นพ่อของคนไทยอีก 60 ล้านคน หลังจากนั้นผมก็ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี" นายวิทิตนันท์กล่าว
นายวิทิตนันท์ ประกอบอาชีพครีเอทีฟรายการโทรทัศน์ และกำลังจะผันตัวเองไปเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ ซึ่งด้วยสายงานดังกล่าวแทบจะไม่มีโอกาสให้ชายหนุ่มผู้นี้ไปเกี่ยวข้องกับ เรื่องราวของการเสี่ยงตายอย่างการปีนยอดเขามรณะเอเวอเรสต์ ที่แต่ละปีมีคนจากทั่วโลกเอาชีวิตไปทิ้งบนยอดเขาแห่งนี้จำนวนมากได้
แต่ด้วยนายวิทิตนันท์ เป็นคนที่ชื่นชอบการผจญภัย ชอบการดำน้ำ ชอบขับเครื่องบินเล็ก และชอบการเดินทางไปทั่วทุกมุมโลก ทำให้หนุ่มใหญ่ผู้นี้มีโอกาสพบกับนายดูล สวี เชาว์ นักปีนเขาที่เป็นคนแรกของประเทศสิงคโปร์ที่ขึ้นไปเหยียบยอดเขาเอเวอเรสต์ ขณะร่วมทริปไปดำน้ำในประเทศพม่า เมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา
ในการพบกับนายดูล สวี เชาว์ ครั้งนั้นเหมือนเป็นการจุดประกายให้นายวิทิตนันท์ มีความคิดที่จะเป็นคนไทยคนแรกที่นำธงชาติไทยไปปักลงบนยอดเขาที่ได้ชื่อว่า เป็นยอดเขาสูงที่สุดของโลก
"ดูล สวี เชาว์ เขาพูดกับผมว่าอยากให้มีคนไทยปีนยอดเขาเอเวอเรสต์ สำเร็จอย่างเช่นคนสิงคโปร์ทำ ผมบอกกับเขาไปในวินาทีนั้นเลยว่า คนไทยทำอะไรได้ทุกอย่างและผมนี่แหละจะเป็นคนไทยคนแรกที่ไปเหยียบยอดเขาลูก นั้น" นายวิทิตนันท์เล่าถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้ต้องไปปีนเขาเอเวอเรสต์
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นายวิทิตนันท์ขวนขวายที่จะเดินทางไปปีนยอดเขาเอเวอเรสต์ให้สำเร็จ โดยเริ่มแรกไปทดลองปีนเขาชินาบูลู ในประเทศมาเลเซีย ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเล 4,095 เมตร
นายวิทิตนันท์กล่าวอีกว่า ต้องการให้คนทั่วโลกรู้จักคนไทยในมุมอื่นๆ ที่นอกเหนือจากมวยไทย หรือต้มยำกุ้ง และต้องการแสดงให้คนชาติไหนๆ ได้เห็นว่าคนไทยก็สามารถทำอะไรได้เหมือนคนชาติอื่นทำได้ และตั้งใจว่าในชีวิตนี้จะต้องไปยืนบนยอดเขาเอเวอเรสต์ให้ได้
แต่การปีนเขาสูงที่สุดในโลกของนายวิทิตนันท์ มีอุปสรรคสำคัญคือค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า 2 ล้านบาท จึงต้องหาทางแก้โดยการประกาศหาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ผ่านเครือข่ายอิน เทอร์เน็ต แต่ก็ต้องพับโครงการไปเพราะติดขัดเรื่องเวลาที่ไม่เอื้ออำนวยระหว่างคนใน กลุ่ม
นายวิทิตนันท์บอกว่า ในช่วงแรกรู้สึกท้อเพราะอุปสรรคมีมาก กระทั่งเมื่อปี 2549 เกิดแรงบันดาลใจครั้งใหญ่ คือเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครองราชย์ครบ 60 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเหน็ดเหนื่อยเพื่อคนไทยกว่า 60 ล้านคนมาอย่างยาวนาน ตนซึ่งเป็นคนไทยควรทำอะไรเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระองค์ท่าน
ต่อมาเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2549 นายวิทิตนันท์ตัดสินใจเดินทางไปยังประเทศเนปาล เพื่อไปทดลองปีนเขาเอเวอเรสต์ พร้อมทั้งถ่ายภาพตัวเองขณะปีนเขาเพื่อนำกลับมาทำเป็นชิ้นงานเสนอขอสปอนเซอร์ จากภาคธุรกิจ ในการเดินทางครั้งนั้นนายวิทิตนันท์ปีนเขาเอเวอเรสต์ได้ในระดับความสูงเพียง 5 ,000 กว่าเมตร เนื่องจากขาดอุปกรณ์การปีนเขาที่มีประสิทธิภาพเพราะราคาสูง
"หลังจากกลับมาถึงประเทศไทยผมใช้เวลาหาสปอนเซอร์อยู่นานเกือบ 2 ปี แต่ก็ไม่มีใครให้ โดยส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าคนอย่างผมจะทำได้ กระทั่งพบกับคุณนิรัตติศัย กัลย์จาฤก ผู้บริหารบริษัทกันตนา ซึ่งให้ความสนใจกับแผนการของผม ต่อมาคุณนิรัตติศัย และผู้บริหารกันตนาก็ได้พยายามหาสปอนเซอร์ให้ แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากนักธุรกิจในประเทศไทยแม้แต่รายเดียว โชคดีที่คุณจารึก กัลย์จาฤก รู้จักกับบริษัทแห่งหนึ่งในประเทศเวียดนามซึ่งสนใจที่จะสนับสนุน" นายวิทิตนันท์กล่าว
นายวิทิตนันท์กล่าวว่า การให้การสนับสนุนของบริษัทธุรกิจจากเวียดนามมาในรูปของการร่วมกันผลิต รายการโทรทัศน์ในลักษณะเรียลิตี้ไปเผยแพร่ในประเทศเวียดนาม โดยเปิดรับอาสาสมัครชาวเวียดนามมาร่วมเดินทางไปพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ โดยมีตนเป็นหัวหน้าทีม
การคัดสรรชาวเวียดนามนั้น ในระยะแรกมีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการถึง 3,000 คน ก่อนที่จะคัดเหลือเพียง 4 คน ซึ่งระหว่างการคัดตัวนั้นมีการถ่ายทำเผยแพร่เป็นรายการเรียลิตี้โชว์ออก อากาศทางโทรทัศน์ในเวียดนาม ในวันจันทร์ถึงวันเสาร์วันละ 5 นาที และในวันอาทิตย์ 30 นาที
นายวิทิตนันท์บอกด้วยว่า ระหว่างการคัดตัวนั้นมีการฝึกร่างกายให้มีความแข็งแรงเพื่อเตรียมพร้อมในการ พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ โดยไปปีนเขา ฟางสิปัง ในเวียดนามที่สูงจากระดับน้ำทะเล 3,100 เมตร และปีนยอดเขาชินาบาลู ในประเทศมาเลเซีย สูง 4,095 เมตร เพื่อสร้างความเคยชินและเรียนรู้วิธีการปีนเขา และปิดท้ายการฝึกซ้อมโดยการปีนเขาไอซ์แลนด์ฟิกส์ ซึ่งเป็นภูเขาน้ำแข็งสูง 6,189 เมตร ในประเทศเนปาล เพื่อให้นักปีนเขาเคยชินกับสภาพอากาศและภูมิประเทศของภูเขาลูกนี้ที่มีความ ใกล้เคียงกับยอดเขาเอเวอเรสต์
การเตรียมร่างกายของนักปีนเขาชุดนี้ใช้เวลาในการเตรียมตัวนานกว่า 8 เดือน ก่อนที่จะปฏิบัติภารกิจสุดท้ายคือการปีนยอดเขาสูงที่สุดในโลก
นายวิทิตนันท์เล่าว่า เขาเดินทางออกจากประเทศไทยไปยังประเทศเนปาล ในวันที่ 8 เมษายน 2551 เพื่อปฏิบัติภารกิจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต และเดินทางกลับสู่มาตุภูมิในวันที่ 3 มิถุนายน ที่ผ่านมา ตลอดระยะเวลา 2 เดือนเต็มในช่วงดังกล่าว เขาและเพื่อนร่วมทางชาวเวียดนามต้องใช้ชีวิตอยู่บนภูเขาที่ได้ชื่อว่าเป็น หลังคาโลก
"ชีวิตบนนั้นลำบากมากอากาศหนาวและแห้ง มีแต่ก้อนหิน กับหิมะ อุณหภูมิกลางวัน 15 องศาเซลเซียส บ่ายเหลือ 0 องศาเซลเซียส กลางดึกอุณหภูมิติดลบ 25 องศาเซลเซียส หากคืนไหนมีหิมะตกก็เหมือนอยู่ในนรกไม่มีผิด นอกจากอากาศแล้วอาหารก็แทบกินไม่ได้มีเพียงเนื้อที่ผ่านการปรุงจากชาวแชร์ปา รสชาติไม่ต้องพูดถึง อีกทั้งในแต่ละวันที่ปีนเขาจะต้องเดินทางตลอดทั้งวันจนกว่าจะถึงแคมป์ที่พัก โดยจุดที่ยากสุดคือบริเวณที่ผ่านพื้นที่ที่เรียกว่า คลุมบูไอซอล แปลเป็นไทยคือหิมะถล่ม จุดนี้ยากมากหากพลาดหมายถึงเอาชีวิตไปทิ้ง" นายวิทิตนันท์กล่าว
ผู้พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์คนแรกของไทยกล่าวด้วยว่า แต่เมื่อเดินทางบริเวณแคมป์ 4 ซึ่งมีโอกาสได้พัก 4 ชั่วโมงก่อนที่จะขึ้นไปยังจุดซามิต ปลายยอดของภูเขาเอเวอเรสต์ สิ่งแรกที่ทำคือหยิบพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งใส่ไว้ ในเป้บนหลังมาดู เพื่อเป็นกำลังใจ ก่อนที่จะเดินทางออกจากแคมป์ 4 ไปยังซามิต ที่ต้องใช้เวลาการเดินทางอีก 7 ชั่วโมง
"7 ชั่วโมงจากแคมป์ 4 ไปยังซามิต ผมพะวงอย่างเดียว กลัวพระบรมฉายาลักษณ์ กับธงชาติ หล่นหาย เพราะเส้นทางลำบากมาก แต่เมื่อถึงซามิต ผมโล่งอก พระบรมฉายาลักษณ์ยังอยู่ ธงชาติยังอยู่ ผมรีบหยิบพระบรมฉายาลักษณ์ออกมาชูขึ้นเหนือหัวและให้ มร.แชรัม แชร์ปา หัวหน้าทีมแชร์ปา ถ่ายภาพให้ ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นถามผมว่าคนในภาพเป็นพ่อผมหรือ ผมตอบเขาว่าใช่นอกจากจะเป็นพ่อผมแล้วยังเป็นพ่อของคนไทยอีก 60 ล้านคน หลังจากนั้นผมก็ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี" นายวิทิตนันท์กล่าว
จุดมุ่งหมายของคุณหนึ่งไปพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสต์เพื่อในหลวง เพราะท่านเป็นคนที่คุณหนึ่งรักมากที่สุดคนหนึ่ง ยอมสละชีพเพื่อท่านได้
ด้วยความรักในตัวในหลวงและศรัทธาในการทำความฝันที่ตัวเองต้องการให้เป็นจริง....คุณหนึ่งก็เริ่มต้นทำในสิ่งที่อยู่ภายในใจเรียกร้อง
การ จะไปถึงยอดเขาเอเวอร์เรสต์ไม่ได้ราบเรียบเสมอไป....ปัญหาเกิดขึ้นตลอดทาง ปัญหาเรื่องเงินที่จะจ่าย ปัญหาเรื่องไม่สบาย ธรรมชาติที่ไม่เป็นใจ ฯลฯ คุณหนึ่งเล่าให้ฟังว่าความฝันที่จะพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสต์เมื่อ ๔ ปีทีแล้ว...มันยังคงเป็นฝันแบบนั้นอยู่ที่ยังไม่มีทางทำให้เป็นจริง ถ้าคุณหนึ่งไม่กล้าที่จะทำฝันให้เป็นจริง ฝันก็ยังคงเป็นฝันตลอดไป
หลายคนทิ้งฝันไว้กลางคันเพียงเพราะอายที่คนอื่นดูถูกความฝันของเขา คนเราอยู่ได้เพราะอะไรกัน?
หลายคนที่ไม่มีความฝันเลย...คนเหล่านั้นก็ไม่ต่างกับคนตายที่มีลมหายใจ
หลาย คนมีความฝันแต่ว่ากว่าจะถึงฝันต่างเผชิญกับอุปสรรคมากมาย หลายคนเลิกล้มความตั้งใจ ในขณะที่หลายคนอดทนเอาชนะอุปสรรค..คนเหล่านี้จึงเป็นคนไม่กี่คนที่สามารถทำ ฝันของตัวเองให้กลายเป็นจริง
คุณหนึ่งแชร์ประสบการณ์ว่า....ใน ระหว่างทางที่เกิดเรื่องเลวร้าย...เขามองในแง่ดี....ไม่ท้อแท้ ภายหลังจากที่รู้จักมองอะไรในแง่ดีๆให้กับชีวิต มันเปลี่ยนกลายเป็นพลังผลักดันให้เขาก้าวต่อไปข้างหน้า
หลายครั้งระหว่างที่เขาปีนเขาหิมาลัย เขาเหนื่อย เขาล้า แต่เขาถามตัวเองว่า
"เรามาเพื่อในหลวงไม่ใช่หรือ? ท่านทำอะไรเพื่อคนไทยทั้งชาติ แล้วจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จเพื่อท่านไม่ได้เลยหรือ"
ประโยคแบบนี้มันทำให้เขามีพลังและต่อสู้ต่อไปเพื่อบรรลุภารกิจ
ตอน ที่คุณหนึ่งเขาถึงยอดเขาเอเวอร์เรสต์สำเร็จ...เขาร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี พร้อมน้ำตาด้วยความปีติ โบกธงชาติไทยพร้อมชูภาพในหลวง มีนักปีนเขาต่างชาติถามว่าคนในภาพคือใคร คุณหนึ่งตอบไปว่า
"This is the King of Thailand."
บรรดานักปีนเขาต่างชาติที่อยู่บริเวณนั้นต่างตบมือและตะโกนพร้อมกัน ๓ ครั้งว่า
Long live the King
Long live the King
Long live the King
มัน ช่างน่าปลาบปลื้มใจที่คนไทยคนหนึ่งยอมเสี่ยงชีวิตทำอะไรที่ยากลำบากเพื่อ ถวายในหลวง ด้วยความศรัทธา และความรัก มันทำให้เขามีพลังเอาชนะอุปสรรคต่างๆจนมายืนตรงนี้สำเร็จ
มีคน ถามคุณหนึ่งว่ารู้สึกอย่างไรตอนที่เขากำลังขอสปอนเซอร์จากเวียดนามแล้วรู้ ว่า...แต่ทีมจากทีไอทีวีกำลังจะออกเดินทางไปพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสต์?
คุณ หนึ่งตอบว่า....ไม่สำคัญว่าใครจะไปถึงยอดเขาก่อนหรือหลัง ขอให้เป็นคนไทยและพิชิตยอดนี้สำเร็จ ย่อมเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยเหมือนกัน ไม่สำคัญว่าต้องเป็นคนแรกเท่านั้น
คุณหนึ่งทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยประโยคที่น่าสนใจมากๆว่า...
ด้วยความรักในตัวในหลวงและศรัทธาในการทำความฝันที่ตัวเองต้องการให้เป็นจริง....คุณหนึ่งก็เริ่มต้นทำในสิ่งที่อยู่ภายในใจเรียกร้อง
การ จะไปถึงยอดเขาเอเวอร์เรสต์ไม่ได้ราบเรียบเสมอไป....ปัญหาเกิดขึ้นตลอดทาง ปัญหาเรื่องเงินที่จะจ่าย ปัญหาเรื่องไม่สบาย ธรรมชาติที่ไม่เป็นใจ ฯลฯ คุณหนึ่งเล่าให้ฟังว่าความฝันที่จะพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสต์เมื่อ ๔ ปีทีแล้ว...มันยังคงเป็นฝันแบบนั้นอยู่ที่ยังไม่มีทางทำให้เป็นจริง ถ้าคุณหนึ่งไม่กล้าที่จะทำฝันให้เป็นจริง ฝันก็ยังคงเป็นฝันตลอดไป
หลายคนทิ้งฝันไว้กลางคันเพียงเพราะอายที่คนอื่นดูถูกความฝันของเขา คนเราอยู่ได้เพราะอะไรกัน?
หลายคนที่ไม่มีความฝันเลย...คนเหล่านั้นก็ไม่ต่างกับคนตายที่มีลมหายใจ
หลาย คนมีความฝันแต่ว่ากว่าจะถึงฝันต่างเผชิญกับอุปสรรคมากมาย หลายคนเลิกล้มความตั้งใจ ในขณะที่หลายคนอดทนเอาชนะอุปสรรค..คนเหล่านี้จึงเป็นคนไม่กี่คนที่สามารถทำ ฝันของตัวเองให้กลายเป็นจริง
คุณหนึ่งแชร์ประสบการณ์ว่า....ใน ระหว่างทางที่เกิดเรื่องเลวร้าย...เขามองในแง่ดี....ไม่ท้อแท้ ภายหลังจากที่รู้จักมองอะไรในแง่ดีๆให้กับชีวิต มันเปลี่ยนกลายเป็นพลังผลักดันให้เขาก้าวต่อไปข้างหน้า
หลายครั้งระหว่างที่เขาปีนเขาหิมาลัย เขาเหนื่อย เขาล้า แต่เขาถามตัวเองว่า
"เรามาเพื่อในหลวงไม่ใช่หรือ? ท่านทำอะไรเพื่อคนไทยทั้งชาติ แล้วจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จเพื่อท่านไม่ได้เลยหรือ"
ประโยคแบบนี้มันทำให้เขามีพลังและต่อสู้ต่อไปเพื่อบรรลุภารกิจ
ตอน ที่คุณหนึ่งเขาถึงยอดเขาเอเวอร์เรสต์สำเร็จ...เขาร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี พร้อมน้ำตาด้วยความปีติ โบกธงชาติไทยพร้อมชูภาพในหลวง มีนักปีนเขาต่างชาติถามว่าคนในภาพคือใคร คุณหนึ่งตอบไปว่า
"This is the King of Thailand."
บรรดานักปีนเขาต่างชาติที่อยู่บริเวณนั้นต่างตบมือและตะโกนพร้อมกัน ๓ ครั้งว่า
Long live the King
Long live the King
Long live the King
มัน ช่างน่าปลาบปลื้มใจที่คนไทยคนหนึ่งยอมเสี่ยงชีวิตทำอะไรที่ยากลำบากเพื่อ ถวายในหลวง ด้วยความศรัทธา และความรัก มันทำให้เขามีพลังเอาชนะอุปสรรคต่างๆจนมายืนตรงนี้สำเร็จ
มีคน ถามคุณหนึ่งว่ารู้สึกอย่างไรตอนที่เขากำลังขอสปอนเซอร์จากเวียดนามแล้วรู้ ว่า...แต่ทีมจากทีไอทีวีกำลังจะออกเดินทางไปพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสต์?
คุณ หนึ่งตอบว่า....ไม่สำคัญว่าใครจะไปถึงยอดเขาก่อนหรือหลัง ขอให้เป็นคนไทยและพิชิตยอดนี้สำเร็จ ย่อมเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยเหมือนกัน ไม่สำคัญว่าต้องเป็นคนแรกเท่านั้น
คุณหนึ่งทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยประโยคที่น่าสนใจมากๆว่า...
"ผมไม่กลัวความตายครับ แต่ว่ากลัวว่ายังไม่ได้ทำฝันที่ตั้งใจไว้ให้เป็นจริงต่างหาก"
" Long Live The Great King Bhumibol Adulyadej "
“ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานองค์ภูมิพลอดุลยเดชมหาราชา"
“ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานองค์ภูมิพลอดุลยเดชมหาราชา"
ข้อมูลของยอดเขา Everest
"Mount Everest เมานต์เอเวอเรสต์ : ภูเขาในเทือกเขาหิมาลัย ระหว่างประเทศเนปาลกับเขตปกครองตนเองทิเบตของประเทศจีน เป็นภูเขาสูงที่สุดในโลก สูง ๘,๘๔๘ ม. ใน ค.ศ. ๑๙๓๓ ได้ถ่ายภาพยอดเขาจากเครื่องบินเป็นครั้งแรก ต่อมา เอดมันด์ ฮิลลารี ชาวนิวซีแลนด์ และ เทนซิง นอร์เกย์ ชาวเนปาลรวมทั้งคณะสำรวจชาวอังกฤษได้ไต่ขึ้นถึงยอดเขานี้ได้สำเร็จเป็นครั้ง แรกเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๕๓"
หากสงสัยว่า เทือกเขาหิมาลัยคืออะไร คณะกรรมการชุดดังกล่าวได้ให้ข้อมูลไว้ดังต่อไปนี้
"the Himalayas เทือกเขาหิมาลัย : เทือกเขาในทวีปเอเชีย อยู่ทางตอนใต้ของทวีป เป็นพรมแดนด้านเหนือของอนุทวีปอินเดีย ทอดตัวเป็นแนวโค้งยาว ๒,๔๐๐ กม. จากรัฐชัมมูและแคชเมียร์ทางตะวันตกไปยังรัฐอัสสัมทางตะวันออก ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศเนปาล รัฐสิกขิมของประเทศอินเดีย ประเทศภูฏาน และด้านใต้ของเขตปกครองตนเองทิเบตในประเทศจีน มีแม่น้ำสินธุคั่นระหว่างเทือกเขาหิมาลัยกับเทือกเขาการาโกรัมทางตะวันตก เฉียงเหนือ และแม่น้ำพรหมบุตรซึ่งไหลผ่านด้านเหนือและด้านตะวันออก แบ่งออกเป็น ๓ ตอน ได้แก่ เทือกเขาเกรตหิมาลัยทางตอนเหนือ ความสูงเฉลี่ย ๖,๐๐๐ ม. รวมยอดเขาเอเวอเรสต์ซึ่งสูง ๘,๘๔๘ ม. เทือกเขาเลสเซอร์หิมาลัยทางตอนกลาง และเทือกเขาเอาเทอร์หิมาลัยทางตอนใต้ ซึ่งรวมถึงทิวเขาศิวะลิกด้วย นอกจากยอดเขาเอเวอเรสต์แล้ว ยังมียอดสูงอื่น ๆ อีก ได้แก่ คันเจนชุงกา (สูง ๘,๕๘๖ ม.) เทาลาคีรี (สูง ๘,๑๗๒ ม.) นังกาปาร์บัต (สูง ๘,๑๒๖ ม.) และนันทาเทวี (สูง ๗,๘๑๗ ม.)"
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบคิดถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 อยู่ตลอดเวลา และ จะจดจำพระองค์ไว้ในจิตในใจตลอดไป พร้อมกับจะน้อมนำเอาคำสอนของพระองค์มาประปฏิบัติ
ตอบลบขอพระองค์สู่สรวงสวรรค์คาลัย พระพุทธเจ้าข้า